วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

จาก "นอก" สู่ "ใน"

วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 4080

จาก "นอก" สู่ "ใน"

คอลัมน์ market think

โดย สรกล อดุลยานนท์

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมชอบบทสัมภาษณ์ของนักธุรกิจ 2 คน คนแรก คือ "เคิร์ท วาชไฟท์ล" ผู้จัดการใหญ่ "แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ" ใน "ประชาชาติธุรกิจ"

คนที่สอง คือ "ศุภวุฒิ สายเชื้อ" กรรมการผู้จัดการ (หัวหน้าสายงานวิจัย) บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน)

"วาชไฟท์ล" นั้นมองว่าปัญหาใหญ่ของเมืองไทยคือ รัฐบาลต้องประกาศจุดยืนทางนโยบายให้ชัดเจน

ต้องทำให้นักท่องเที่ยวเชื่อมั่นใน 2 เรื่อง

คือ เชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัย (safety) และเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะดูแลความปลอดภัยให้กับเขา (security)

ที่สำคัญคนไทยต้องคิดแบบ outside in

มองแบบ "นอกประเทศ" เข้ามา "ในประเทศ"

"วาชไฟท์ล" บอกว่า ปัญหาใหญ่ของคนไทยคือ คนในประเทศพยายามบอก ชาวโลกว่าเมืองไทยสงบ

แทนที่จะให้ "คนภายนอก" เป็นคนบอกมากกว่า

"จินตนาการของคนหลายประเทศ ที่ไม่เคยมาเที่ยวก็เห็นไทยในภาพเชิงลบ เช่นเดียวกับเม็กซิโก"

ครับ ประเด็นที่เขาพูดถึงชัดเจนคือเรื่องการยึด "สนามบินสุวรรณภูมิ"

เขาบอกว่าสื่ออิสระนานาชาติรายงานภาพเชิงลบเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งภาพและเนื้อหา

"แม้คนจะกังวลกับ 2 สถานการณ์โลก คือ วิกฤตการเงิน และการสู้รบในตะวันออกกลาง แต่เรื่องการปิดสนามบินสุวรรณภูมิเป็นเรื่องใหญ่ที่คนไม่อาจลืมได้"

ที่ผ่านมาคนไทยชอบมองปัญหาแบบ inside out คือ มองจากตัวเองออกไป

คิดว่าเราเชื่อมั่นแล้ว คนต่างชาติก็ต้องเชื่อมั่นเหมือนเรา

ไม่ได้มองจากมุมของต่างชาติกลับมาเมืองไทย

คนไทยต้องนึกถึงตอนที่เรามอง ประเทศกรีซ หรือเมืองมุมไบของอินเดีย หลังเกิดเหตุจลาจลและสังหารหมู่สิครับ

มองแบบอยู่ไกลๆ

ตัวอย่างที่ดีเรื่องหนึ่งคือ เรื่อง "จินตนาการ" ของคนไทยที่เชื่อว่าสื่อต่างชาติวิจารณ์เมืองไทยเรื่อง "ม็อบมีเส้น" หรือการสมรู้ร่วมคิดระหว่างพรรค ประชาธิปัตย์กับกลุ่มพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย

เป็นฝีมือของบริษัท "ล็อบบี้ยิสต์" ที่ "ทักษิณ ชินวัตร" เป็นคนจ้าง

โธ่ มีใครในโลกนี้ที่จะบงการให้ สื่อยักษ์ใหญ่อย่างบีบีซีส-รอยเตอร์- อีโคโนมิสต์-เอพี ฯลฯ วิจารณ์ไปใน ทางเดียวกันได้บ้าง

ระดับ "บารัก โอบามา" ก็ยังทำไม่ได้เลยครับ

........

ส่วน "ศุภวุฒิ" ก็วิจารณ์เรื่องการสร้าง "ความเชื่อมั่น" ในมุมเดียวกัน

เขาบอกว่ารัฐบาลจะไปบอกนักลงทุนว่าไม่ต้องกลัว การเมืองมีเสถียรภาพแล้ว กำลังทำเรื่องสมานฉันท์

คำถามของนักลงทุนมีนิดเดียว เขาถามว่าสมมุติว่าถ้าเลือกตั้งใหม่ แล้วพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง

"ถึงคุณอภิสิทธิ์เป็นนายกฯที่ดีและเก่ง แต่ถ้าผมลงทุน 20 ปี แล้วอีก 2 ปีข้างหน้ามีเลือกตั้งใหม่ เกิดคุณแพ้เลือกตั้งแล้วฝ่ายโน้นขึ้นมา มีเสื้อเหลืองออกมา ยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดท่าเรือ ยึดสนามบิน ผมส่งออกไม่ได้ แล้วโรงงานผมเพิ่งตั้งมา 2 ปี แต่ส่งออกไม่ได้ จะทำอย่างไร"

"ศุภวุฒิ" บอกว่านักลงทุนเขาไม่ถาม รัฐบาลตรงๆ แต่เชื่อว่านักลงทุนต้องประเมินเรื่องนี้ก่อนจะลงทุน

"นี่เป็นคำถามที่ผมเจอจากนักลงทุนตลอด แล้วรัฐบาลจะตอบเขาอย่างไร รัฐบาลประชาธิปัตย์คงต้องหาคำตอบให้ได้"

ครับ เราจะสร้าง "ความเชื่อมั่น" มาจากลมปากไม่ได้

ต้องมาจากการกระทำเพียงอย่างเดียว

และไม่ใช่การออก พ.ร.บ.สนามบินฯ ที่ลงโทษปรับคนบุกยึดสนามบิน 500 บาท ซึ่งถูกวิจารณ์ทั่วบ้านทั่วเมือง

ลงโทษแรงเหลือเกิน

ยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศชาติ เสียหายไป 290,000 ล้านบาท

ธุรกิจท่องเที่ยวฉิบหาย การบินไทย แทบล้มละลาย

แต่ปรับคนที่บุกรุกแค่ 500 บาท

ไหนๆ ถ้าจะเข้าข้างกันแล้ว ก็เข้าข้างกันให้เต็มที่ไปเลย

ผมเสนอให้ลดโทษเหลือแค่ดีดหู เขกโต๊ะ หรือปั่นจิ้งหรีดก็พอครับ

ความจริงเรื่องความปลอดภัย (safety) และการดูแลความปลอดภัย (security) ที่ผู้จัดการใหญ่โรงแรมโอเรียนเต็ลพูดถึง

มันก็คือ การจัดการกับคนที่ทำผิดกฎหมายอย่างจริงจัง

เพื่อป้องกันไม่ให้คนกระทำผิดซ้ำอีก

น่าแปลกที่รัฐบาลเร่งรัดคดีชิปปิ้งหมู-ทนายสมชาย ฯลฯ ได้

แต่ไม่กล้าเร่งรัดคดีบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิ

ส่วนมาตรการป้องกันในอนาคตรัฐบาลจะออกพระราชบัญญัติอะไรออกมาก็ควรทำให้สาธารณชนรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรง

ไม่ใช่ทำผิดปรับ 500 บาท

แต่ที่ผมยังนึกไม่ออกก็คือ เราจะทำให้นักท่องเที่ยวมั่นใจได้อย่างไรว่าถ้าเกิดเหตุบุกยึดสนามบินอีกครั้ง

เมื่อรัฐบาลสั่งทหารให้ออกมาช่วย

กองทัพจะเชื่อฟังรัฐบาล

ลองคิดแบบ outside in สิครับ

คิดว่าต่างชาติจะเชื่อไหม ???

หน้า 19 http://matichon.co.th/prachachat/prachachat_detail.php?s_tag=02mar07160252&day=2009-02-16§ionid=0207

ไม่มีความคิดเห็น: