วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2552

รายงาน: ความก้าวหน้าของการเจรจาเรื่องโลกร้อน (Post-Kyoto Regime) ที่กรุงบอนน์

รายงาน: ความก้าวหน้าของการเจรจาเรื่องโลกร้อน (Post-Kyoto Regime) ที่กรุงบอนน์ 

http://www.measwatch.org/autopage/show_page.php?t=19&s_id=95&d_id=95

บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์
ชุดโครงการ
MEAs Watch สกว.ฝ่ายสวัสดิภาพสาธารณะ

ในช่วงวันที่ 29 มีนาคม ถึง 8 เมษายนที่ผ่านมา ได้มีการประชุมเจรจาเพื่อจัดทำกติกาโลกฉบับใหม่ (Post-Kyoto Regime) สำหรับการแก้ไขปัญหาโลกร้อน เพื่อมาแทนหรือปรับปรุงเพิ่มเติมพิธีสารเกียวโตที่จะสิ้นสุดพันธกรณีในปี ค.ศ.2012  การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นที่กรุงบอนน์ ประเทศเยอรมนี มีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 2,600 คน เป็นการประชุมเจรจาของคณะทำงานเฉพาะกิจที่เรียกว่า AWG on Long Term Cooperative Action (AWG-LCA) ครั้งที่ 5 และ  AWG on Further Commitments for Annex-I Parties under Kyoto Protocol  (AWG-KP) ครั้งที่ 7  ในปีนี้ทั้งสองคณะนี้จะประชุมอีกสองครั้ง คือ ในช่วงเดือนมิถุนายน ที่กรุงบอนน์ และในช่วง 28 กันยายน – 8 ตุลาคม ที่กรุงเทพ (น่ายินดีที่ประเทศไทยยังได้รับความเชื่อมั่นให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติอยู่)  หลังจากนั้นก็จะเป็นการประชุมเจรจาเพื่อหาข้อสรุปในระดับประเทศสมาชิกครั้งที่ 15 (Conference of the Parties :COP) ในช่วงเดือนธันวาคม ที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก

การประชุม AWG-LCA เป็นการเจรจาภายใต้อนุสัญญาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ดังนั้นทุกประเทศที่เป็นสมาชิกของอนุสัญญาฯ ซึ่งรวมทั้งสหรัฐอเมริกาจึงอยู่ในเวทีการเจรจาด้วย  ประเด็นหลักของการเจรจาครอบคลุม 4 เรื่องหลัก ได้แก่ การลดก๊าซเรือนกระจก การปรับตัวรองรับผลกระทบ กลไกทางด้านเศรษฐศาสตร์และด้านเทคโนโลยีเพื่อแก้ไขปัญหาโลกร้อน และเป้าหมายร่วมกันในการลดก๊าซเรือนกระจก (Shared Vision) การประชุมในครั้งนี้มีความก้าวหน้าเพิ่มขึ้นในการสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับแนวคิดและทางเลือกต่างๆ ที่จะยกร่างเป็นตัวบทเจรจา (Negotiation Text) สำหรับการเจรจาครั้งต่อไปในช่วงเดือนมิถุนายน

ในการเจรจาเรื่อง Shared Vision ครั้งนี้ กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วยังคงมีจุดยืนและท่าทีไม่แตกต่างไปจากเดิม กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาได้เรียกร้องให้กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วเป็นผู้นำในการลดก๊าซเรือนกระจก และให้มีการกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซอย่างชัดเจนทั้งในระยะกลาง (ปี 2020) และระยะยาว (ปี 2050) โดยยกประเด็นความรับผิดชอบของประเทศที่พัฒนาแล้วจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมากมายในอดีต (Historical Responsibility) จนเกิดปัญหาโลกร้อนขึ้นในขณะนี้ ส่วนกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วได้พยายามชี้ให้เห็นถึงข้อมูลและแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยมาจากกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา และโต้แย้งว่าการลดก๊าซเรือนกระจกในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วแต่เพียงอย่างเดียวจะไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาโลกร้อนที่เกิดขึ้น

สำหรับการประชุม AWG-KP เป็นการเจรจาภายใต้พิธีสารเกียวโต ซึ่งสหรัฐอเมริกายังคงไม่ได้เป็นภาคีสมาชิก แต่มีความเคลื่อนไหวภายในประเทศอย่างมากเพื่อแก้ไขปัญหาโลกร้อนในช่วงประธานาธิบดีโอบามาโดยเฉพาะเกี่ยวกับการเสนอกฎหมาย การประชุม AWG-KP ครั้งนี้ มุ่งเน้นในเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศที่พัฒนาแล้ว (ที่เรียกว่า Annex-I) ในช่วงหลังปี ค.ศ.2012  รวมทั้งประเด็นในแง่กฎหมาย และความเป็นไปได้ในการปรับแก้ไขเนื้อหาพิธีสารเกียวโต นอกจากนี้ยังมีการเจรจาเกี่ยวกับประเด็นเรื่องกลไกยืดหยุ่นต่างๆ (การซื้อขายก๊าซเรือนกระจก, CDM) เรื่องการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินและป่าไม้ (LUCUCF) และเรื่องมาตรการแก้ไขปัญหา ในการประชุมของ AWG-KP ได้ข้อสรุปให้ประธานของคณะทำงานนี้ (นาย Harald Dovland ชาวนอร์เวย) ทำการยกร่างตัวบทเจรจา 2 ฉบับสำหรับใช้เจรจาในช่วงเดือนมิถุนายน คือ ข้อเสนอสำหรับการแก้ไขพิธีสารเกียวโตในประเด็นพันธกรณีในช่วงต่อไปของกลุ่มประเทศ Annex-I หลังพิธีสารเกียวโต และข้อเสนอสำหรับประเด็นอื่นๆ เช่น LULUCF  กลไกยืดหยุ่นต่างๆ

การประชุม AWG ครั้งต่อไปในเดือนมิถุนายนนี้จึงเป็นการประชุมที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการกำหนดทิศทางและเนื้อหาของกติกาโลกเพื่อแก้ไขปัญหาโลกร้อนในช่วงหลังปี 2012 เนื่องจากจะเป็นการประชุมครั้งแรกที่เป็นการเจรจาตัว Negotiation Text ภายหลังที่มีการประชุม จัดสัมมนาต่างๆ เพื่อสำรวจ เก็บข้อมูล ตรวจสอบท่าที จุดยืนของแต่ละฝ่ายไปกว่า 1 ปีครึ่งนับตั้งแต่การประชุม COP 13 ที่เกาะบาหลี

 



http://www.prachatai.com/05web/th/home/16677

โดย : ประชาไท   วันที่ : 30/4/2552


Insert movie times and more without leaving Hotmail®. See how.

สื่อ นักวิชาการ ฝ่ายก้าวหน้า ขัดขวางขบวนการประชาธิปไตย?

สื่อ นักวิชาการ ฝ่ายก้าวหน้า ขัดขวางขบวนการประชาธิปไตย? 

ศานติ เพียงใจ

 

ความพยายามที่จะดึงเอาความขัดแย้งทางการเมืองเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งคาดหวังว่าสถาบันการเมืองแห่งนี้จะลดระดับความขัดแย้ง แสวงหาทางออก แต่เอาเข้าจริงก็เป็นแค่ฉายภาพซ้ำและตอกย้ำความคิดความเชื่อเดิมของฝ่ายตน

 

ยิ่งกว่านั้นยังได้เปิดเผยการดำรงอยู่ของอีกขั้วในมุมมืด นั่นก็คือกลุ่มไทยน้ำเงิน ที่ยกตนอย่างเลิศลอยว่าเป็นผู้จงรักภักดี รักชาติบ้านเมืองอย่างยิ่งยวด และพร้อมจะเป็นกองหน้าพิทักษ์สถาบันสูงสุด

 

ไม่แปลกอะไรเลยหากชาวเหลืองและแดงจะระแวงว่ากลุ่มใหม่จะเป็นตาอยู่ของที่คอยจ้องเขมือบชิ้นปลามัน นอกจากนี้ยังได้สะท้อนอีกว่ามีตัวแปรที่เพิ่มขึ้นหลากหลายยิ่งขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งใหญ่ที่ดำรงอยู่

 

ความจริงแล้วไม่เฉพาะสถาบันรัฐสภาอันเป็นรูปองค์กรอธิปไตยแห่งรัฐ ที่สูญเสียบทบาทหน้าที่ตนในการจัดการวิกฤติการเมือง หากทว่าทุกๆ คน ทุกๆ องค์กรทั้งหลายบรรดามี ต่างถูกกระแสมหึมานี้ดึงเข้าสู่แกนการต่อสู้ แปรสภาพเป็นอาวุธหลากชนิดเข้าห้ำหั่นศัตรูคู่อาฆาตอย่างเอาเป็นเอาตาย

 

หนึ่งในนั้นก็คือยุทธศาสตร์ตุลาการภิวัฒน์ ที่เคยหวังกันอย่างสูงว่าจะดาบอาญาสิทธิ์ปิดบัญชีได้ ต่อมาด้วยความรู้เท่าทันของคู่ปฏิปักษ์ นอกจากจะไม่สามารถเอาชนะกันอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ยังส่งผลให้กระบวนการยุติธรรมทั้งระบบเกิดวิกฤติศรัทธา ด้วยข้อหาหนักว่าเลือกปฏิบัติ ให้ความยุติธรรมเฉพาะฝ่าย ทำลายระบบนิติรัฐนิติธรรมอย่างมีนัยสำคัญ ไม่แปลกอะไรเลยหากหลายๆ คนจะเชื่อโดยสนิทใจว่า ระบบศาลบ้านเราได้กลายเป็นศาลเตี้ยไปแล้วหรืออย่างไร มีภารกิจเฉพาะอย่างตามใบสั่งสำคัญของผู้มีอำนาจหรือไม่

 

และที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านี้ก็คือสถาบันสื่อสารมวลชนและนักวิชาการซึ่งกำลังค้อมตัวเองให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และถูกเพ่งเล็งอย่างหนักในขณะนี้

 

สื่อมวลชนรวมถึงเหล่านักวิชาการได้ชื่อว่าเป็นฐานันดรพิเศษ ได้รับความเชื่อถือว่ามีความก้าวหน้าสูงกว่าภาคส่วนอื่นๆ ของสังคม กำลังถูกดึงเข้าร่วมวงไพบูลย์ในเกมแห่งอำนาจ ประกาศตนเป็นมือตบขนาดมหึมาไล่ต้อนคู่ต่อสู้สำคัญ ผลิตวาทกรรมรายสะดวก อาทิ ระบอบทักษิณ ทุนสามานย์ ตุลาการภิวัฒน์ และประชาภิวัฒน์ ฯลฯ

 

แต่ที่แน่ๆ ดูเหมือนจะมีเป้าหมายไล่ล่าครั้งนี้เฉพาะแค่ปุถุชนคนหนึ่งนามทักษิณ  มองข้ามผลิตผลจากโครงสร้างสังคมเดิมที่มีคนอย่างทักษิณอีกมากมาย ไม่เว้นฝ่ายที่ลงขันร่วมแรงโค่นอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็มีร่องรอยความไม่ชอบมาพากลอีกหลายอย่าง เป็นเรื่องเป็นราวที่โต้กันไม่มีจบเพราะเป็นการปะทะกันระดับต่ำ ชี้ขาดกันไม่ได้ว่าใครดีกว่าใคร ใครเลวก็กว่าใคร

 

ลืมพิจารณาสังคมทั้งระบบอย่างเป็นเหตุเป็นผล โดยเฉพาะการพิจารณาทฤษฎีการเมือง หรือความเห็นร่วมต่อการเมืองบ้านเราที่ดำรงอยู่ ว่าเป็นการเมืองของคนส่วนน้อยหรือคนส่วนใหญ่ ชี้ขาดกันได้หรือยังว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยหรือเผด็จการ?? หรือเพียงมองกันต่างมุมแล้วสร้างวาทกรรมแปลกใหม่รายวันให้งงงวยอยู่ร่ำไป

 

ปรากฏการณ์ที่ฝ่ายก้าวหน้าละเลยที่จะสืบค้นภวการณ์ ไม่ยอมพิจารณาตนด้วยมีสติ หรือยอมรับฟังการวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องสะเทือนถึงฐานะทางสังคมของตน เกรงตนจะตกจากหอคอยงาช้าง และหากพวกเขาเหล่านั้นใช้ฐานะทางสังคมเป็นเครื่องมือกำจัดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยเฉพาะฝ่ายประชาชน การเลือกที่จะสะท้อนเฉพาะสียงของชนชั้นกลางในเมือง และเชื่ออย่างไม่มีการตรวจสอบประชามติในทางลึก ว่าประชาชนส่วนใหญ่มีความปรารถนาต่อบ้านเมืองเช่นไร ใช้ความเห็นตนเข้าตัดสินชี้ขาดสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งโดยฉับพลันและไม่แก้ไข เท่ากับว่าได้ละเมิดจรรยาบรรณวิชาชีพตนอย่างร้ายแรง

 

ล่าสุดก็คือเหตุการณ์สงกรานต์เลือด ที่กำลังตกเป็นประเด็นวิวาทะอย่างกว้างขวาง กระทั่งลุกลามไปถึงประเด็นแมลงวันตอมแมลงวันหรือสื่อตอมสื่อ ประชาชนหลายคนเบื่อหน่าย ปิดกั้นตัวเองจากสื่อ หรือแม้กระทั่งการล้อมกรอบรุมสอบถามเค้นเอาเรื่องกับนักข่าวภาคสนามถึงความชอบธรรมและเป็นกลาง

 

การปิดหูปิดตาประชาชนของสื่อกระแสหลักโดยเฉพาะฟรีทีวี การปิดประตูตีแมวคนเสื้อแดงของรัฐบาลอภิสิทธิ์ การใช้ทางลัดขอใบอนุญาตจากเฉพาะชนชั้นกลางในเมือง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้ทหารพร้อมอาวุธสงครามออกมาสลายการชุมนุม พร้อมกับการตราหน้าผู้ร่วมชุมนุมว่าเป็นศัตรูอันตรายต่อประเทศชาติ ซึ่งหลุดจากปากนายกรัฐมนตรีอย่างชัดถ้อยชัดคำ (ต่อมาภายหลังกลืนน้ำลายว่าเป็นชัยชนะร่วมกันของสังคม)  การมองข้ามเจตนารมณ์คนเสื้อแดงหลายแสนที่แสดงออกอย่างอดทนครั้งแล้วครั้งเล่า ว่ามีเจตนารมณ์ที่งดงามต่อชาติบ้านเมืองไม่ต่างกัน สิ่งเหล่านี้ล้วนกลายเป็นประเด็นให้ถกเถียงกันหนาหูขึ้นทุกที

 

ฐานันดรที่ ๔ นักวิชาการทั้งหลายซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีทัศนวิสัยที่ก้าวหน้า

ได้สำรวจตนอย่างลึกซึ้งเพียงพอหรือไม่ ว่าตนได้ขัดขวางขบวนการประชาธิปไตยที่ลึกๆ ตนเองก็ปรารถนา หรือหวังจะใช้แค่ศักยภาพตนเข้ายุติความขัดแย้งแบบง่ายทำนองซุกขยะเข้าสู่ใต้พรม และตนเองก็ทำหน้าที่ต่อไปข้ามวัน ข้ามปี ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น รอระเบิดเวลาที่ส่อไปในทางสงครามกลางเมืองเช่นทุกวันนี้

 

สถานการณ์ที่นโยบายของรัฐเป็นแค่ลมปากเพ้อเจ้อ รัฐสภาเป็นแหล่งรวมของชนชั้นมีอันจะกินและอ้างเก่งเฉพาะตัวบทกฎหมาย สถาบันศาลที่แปดเปื้อนคำนินทา ผู้คนโต้เถียงบ้างก็หมางใจกัน บ้างก็รวมกลุ่มกันพร้อมแสดงพลังปะทะฝ่ายตรงข้าม ทุกองคาพยพสั่นไหวตื่นตัว บ้างดึง บ้างดัน บ้างสู้ บ้างถอย บ้างแสวงหามิตร บ้างทำลาย และอีกหลายรูปการที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า

 

ขอเรียนเชิญท่านทั้งหลายลงไปสัมผัสรับรู้สิ่งที่มวลมหาชนเป็นอยู่ พูดคุยหรือแสดงออกว่าเป็นอย่างไร การใส่เสื้อกั๊กขลุกแต่ในห้องสมุดอาจจะหลุดกระแสสังคมไปไกลแล้วก็ได้ สื่อมวลชนที่ทำงานแบบงานประจำทำเนียบรัฐบาล  รัฐสภาหรือหน่วยงานใดๆ ต้องพิจารณาตนหนักกว่า เสนอข่าวได้ครบถ้วนรอบด้านหรือยัง ท่านหัวหน้าข่าว ผู้บริหารสำนักข่าว นานมาแล้วท่านอาจห่างเหินกับสถานการณ์จริงของบ้านเมือง นอกจากแหล่งข่าวระดับสูงที่คุ้นเคยกันที่ป้อนข้อมูลให้ท่าน คนอื่นๆ ละ ความหลากหลายละ มีช่องทางสักเล็กน้อยไหมในสื่อของท่าน

 

ยังมีผู้นำมวลชนจากอาชีพต่างๆ อีกมากมายซึ่งทำงานภาคสนามปฏิบัติส่วนรวมอย่างต่อเนื่อง คนเหล่านี้อาจเสนอความเห็นต่อบ้านเมืองได้อย่างแหลมคมเป็นประโยชน์ สมควรนำเสนอไม่แพ้น้ำคำคนที่เราคุ้นหน้าเช่นกัน

 

หวังว่าเราจะได้เห็นประชามติประชาธิปไตยจะไม่ถูกละเลยหรือขัดขวางอีกต่อไปทั้งโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม

ระบอบการเมืองที่ได้ชื่อว่ามีคุณธรรมสูงกว่าการเมืองชนิดอื่นจะได้เบ่งบานในสังคมไทยเสียที  

 




http://www.prachatai.com/05web/th/home/16655

โดย : ประชาไท   วันที่ : 29/4/2552


Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out.

‘สุรชัย แซ่ด่าน’ แต่งคอสเพลย์ ‘ทหารป่า’ ‘เทพไท’ ไม่ตลกด้วย อัดเหิมเกริมท้าทายอำนาจรัฐ

'สุรชัย แซ่ด่าน' แต่งคอสเพลย์ 'ทหารป่า' 'เทพไท' ไม่ตลกด้วย อัดเหิมเกริมท้าทายอำนาจรัฐ 

14 แกนนำ นปช. เข้ามอบตัวคดีชุมนุมที่พัทยา

(28 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สภ.บางละมุง จ.ชลบุรี แกนนำ นปช. ทยอยเดินทางเข้ามอบตัวกับ พล.ต.ต.นิวัฒน์ รัตนาธรรมวัฒน์ รอง ผบช.ภ.2 หลังศาลจังหวัดพัทยา ออกหมายจับคดีมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป กรณีบุกเข้าล้มการประชุมอาเซียนซัมมิต ที่จัดขึ้น ณ โรงแรมรอยัลคลิฟบีช รีสอร์ทพัทยา

 

โดยกลุ่มคนเสื้อแดงกว่า 200 คน นำรถเครื่องขยายเสียงและดอกไม้มาให้กำลังใจอย่างคับคั่ง และมีกำลังตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ คอยดูแลรักษาความปลอดภัยกว่า 100 นาย

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากกลุ่มคนเสื้อแดงที่มาให้กำลังใจแล้วมีนายนที สุทินเผือก หรือกรุง ศรีวิไล ส.ส.สมุทรปราการ เขต 2 นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง และ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ เดินทางมาให้กำลังใจด้วย

 

สำหรับรายชื่อผู้เข้ามอบตัวเบื้องต้นประกอบด้วย 1.นายนิสิต สินธุไพร 2.นายสำเริง ประจำเรือ อายุ 44 ปี 3.นายนพพร นามเชียงใต้ 4.นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ 5.นายสมญศฆ์ พรมมา 6.นายสิงทอง บัวชุม 7.นายธนกฤต หรือวันชนะ ชะเอมน้อย หรือเกิดดี อายุ 42 ปี 8.นายวรชัย เหมะ อายุ 55 ปี 9.พ.ต.อ.สมพล รัฐกาญจน์ อายุ 66 ปี 10.นายพายัพ ปั้นเกตุ 11.พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ 12.นายธรชัย ศักมังกร 13.นายศักดา นพสิทธิ์ 14.นายวัลลภ ยังตรง ส่วนนายพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง กับ นางศิริวรรณ์ นิมิตรศิลปะ ยังไม่ได้มาเข้ามอบตัว

 

 

ตำรวจตั้ง 6 ข้อหา ด้าน ส.ส.เพื่อไทยใช้ตำแหน่งประกันตัว

ด้านตำรวจได้ตั้งข้อกล่าวหาร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป กระทำอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ร่วมกันกระทำด้วยประการใดๆให้ทางสาธารณอยู่ในลักษณะอันน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อการจราจร และกระทำการให้ปรากฏต่อประชาชนอันด้วยวาจาอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็น หรือ ติชมโดยสุจริต เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน

 

ร่วมกันขัดคำสั่งเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกมั่วสุม ร่วมกันบุกรุกโดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ร่วมกันเดินแถวหรือเป็นขบวนแห่ หรือเป็นขบวนใดๆในลักษณะที่เป็นการขีดขวางการจราจร ร่วมกันวางตั้ง ยืน หรือแขวนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือกระทำด้วยประ การใดๆ ในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจร

 

หลังจากนั้นโดยนายนที สุทินเผือก หรือ กรุง ศรีวิไล ส.ส.สมุทรปราการ เขต 2 และนายสมคิด บาลไธสง สส.อุดรธานี ได้ใช้ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประกันตัวแกนนำที่เข้ามอบตัว 2 คน ส่วนที่เหลือใช้เงินสดคนละ 5 แสนบาท ประกันตัวออกไป

 

เมื่อเวลาประมาณ 13.30 น.วันนี้ (28 เม.ย.) นายมานะ พันธ์ไพบูลย์ หรือดีเจ ป.เป็ด และนายไพบูลย์ ชูชัย หรือดีเจลุงบุญ ซึ่งเป็น 2 ใน 5 แกนนำเสื้อแดงเชียงใหม่ที่ถูกออกหมายจับจากกรณีนำมวลชนและรถสี่ล้อแดงรับ จ้างปิดถนนรอบประตูท่าแพ กลางเมืองเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 10 เม.ย.52 ได้เดินทางเข้ามอบตัวที่สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่โดยมีนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย พร้อมกลุ่มผู้สนับสนุนเสื้อแดงในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ จำนวนหนึ่งเดินทางมาให้กำลังใจด้วย

 

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ฐานความผิดตามหมายจับว่าร่วมกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่การกระทำภายใต้ความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อให้เกิดความ ไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรหรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง และหยุดหรือจอดรถในลักษณะที่ไม่ปลอดภัยและเป็นการกีดขวางการจราจร โดยตั้งวงเงินประกันตัวผู้ต้องหาไว้รายละ 100,000 บาท ซึ่งนายสุนัยได้ใช้ตำแหน่ง ส.ส.ประกันตัวให้

 

นายสุนัยกล่าวว่า การเดินทางมาในครั้งนี้ เนื่องจากผู้ต้องหาได้ร้องขอไปที่พรรคเพื่อไทยว่าไม่มีหลักทรัพย์ประกันตัว ทางพรรคจึงได้ส่งให้ตนเองมาช่วยดูแล ซึ่งก็ได้ใช้ตำแหน่ง ส.ส.สัดส่วนประกันตัวให้ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับเคียดแค้นและรู้สึกว่าไม่ได้ รับความเป็นธรรมจากการที่ต้องถูกออกหมายจับ

 

สำหรับผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับจากการกระทำความผิดในครั้งเดียวกัน นั้น มีด้วยกัน 5 คน ได้แก่ นายสิงห์คำ นันติ, นายไพบูลย์ ชูชัย, นายมานะ พันธ์ไพบูลย์, นายธานิน ประดิษฐพันธ์ และนายสุรพล ศุภางครัตน์ ซึ่งนายสิงห์คำ และนายธานิน หรือดีเจ ย.ยุ้ย ได้เข้ามอบตัวแล้วก่อนหน้านี้ ขณะที่นายสุรพลยังไม่ได้เข้ามอบตัว แต่ได้ติดต่อมาว่ากำลังทำธุรกิจอยู่ที่ประเทศลาวและจะเดินทางมามอบตัวใน เร็วๆ นี้ นอกจากนี้ มีรายงานข่าวว่าเจ้าหน้าที่เตรียมออกหมายจับผู้ต้องหาในความผิดเดียวกันนี้ อีก 1 คน คือ ดีเจหนึ่ง โดยกำลังอยู่ระหว่างสืบหาชื่อจริง นามสกุลจริง

 

 

นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ขณะเข้ามอบตัวเมื่อ 27 เม.ย. ที่มาของภาพ: ASTVผู้จัดการออนไลน์

 

 

สุรชัย แซ่ด่านแต่งคอสเพลย์ทหารป่าสวมหมวกดาวแดงมอบตัว

ก่อนหน้านี้ เมื่อวานนี้ (27 เม.ย.) ที่ห้องประชุมชั้น 2 บก.ภ.จ.นครศรีธรรมราช เมื่อเวลา 13.45 น. นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ (แซ่ด่าน) หนึ่งในแกนนำ นปช. ได้แต่งกายคอสเพลย์ ในชุดคล้ายทหารในของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย โดยสวมชุดทหารป่าสีเขียวทับเสื้อยืดคอโปโลตัวใน และสวมหมวกเขียวติดดาวแดง พร้อมทนายความและผู้สนับสนุน เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.สราวุธ พีรานนท์ ผบก. ภ.จ.นครศรีธรรมราช มอบตัวในคดีที่ถูกตำรวจออกหมาย จับคดีร่วมกับกลุ่มคนเสื้อแดงบุกรุกโรงแรมรอยัล คลีฟ บีช รีสอร์ท เมืองพัทยา จ.ชลบุรี สถานที่จัดการประชุมอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา จนทำให้การประชุมต้องล้มเลิกไป และคดีที่ถูกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยภาคใต้ แจ้งความดำเนินคดีข้อหาชักปืนข่มขู่หน้าเวทีเสื้อแดง ข้างศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช เหตุเกิดเมื่อวันที่ 6 เม.ย.ที่ผ่านมา

 

พล.ต.ต.สราวุธ พีรานนท์ ผบก.ภ.จ.นครศรีธรรมราช กล่าวว่า สั่งการให้พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครศรีธรรมราช แจ้งข้อกล่าวหาคดีใช้อาวุธปืนข่มขู่กลุ่มพันธมิตรฯ เนื่องจากเหตุเกิดในท้องที่ สภ.เมืองนครศรีธรรมราช เท่านั้น ส่วนคดีบุกรุกโรงแรมที่พัทยา หลังแจ้งข้อหาของ สภ.เมืองนครศรีธรรมราชแล้ว ในเย็นวันนี้จะส่งตัวนายสุรชัยไปให้ สภ.พัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ท้องที่เกิดเหตุรับตัวไปดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

 

 

เทพเล็กไม่ตลกด้วย อัดสุรชัยเป็นพวกเหิมเกริมท้าทายอำนาจรัฐ

นายเทพไท เสนพงษ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ วิเคราะห์ว่าที่กลุ่ม นปช.ระบุว่าจะปรับเปลี่ยนการต่อสู้โดยไม่อิงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่จะเปลี่ยนมาชูคนบ้านเลขที่ 111 เช่น นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายภูมิธรรม เวชยชัย นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริยะเดช และนายเกรียงกมล เลาหะไพโรจน์แทน เนื่องจากบุคคลเหล่านี้ในอดีตเคยผ่านการต่อสู้เป็นทหารป่ามาก่อน พร้อมทั้งจะปรับเปลี่ยน ยุทธวิธีการต่อสู้ โดยจะใช้ทุกรูปแบบ ทั้งแบบกองโจร จรยุทธ์ หรือจับอาวุธขึ้นต่อสู้ ล้วนเป็นการอธิบายในตัวเองอยู่แล้วว่า เป็นการดำเนินการ ตามแผนตากสิน ที่มีแนวคิดล้มทุน ล้มปืน และล้มเจ้า เพื่อบรรลุสู่เป้าหมาย ตามปฏิญญาฟินแลนด์ ที่โยงถึงสถาบัน ทั้งหมดนี้สอดรับกับกรณีที่ นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำ นปช. ที่หลบหนีคดีอยู่ให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติอย่างบีบีซี ว่า คนเสื้อแดงจะสู้ทุกรูปแบบ เพื่อล้มรัฐบาลให้มีการเลือกตั้งใหม่ให้ได้ จึงชัดเจนแล้วว่า เป็นความต้องการที่จะมีการใช้ความรุนแรงเปลี่ยนโครงสร้างของสังคมไทยเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

 

ที่ชัดเจนที่สุด ก็คือกรณีที่ นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ซึ่งเป็นอดีตแนวร่วมของพลพรรคแนวคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ได้แต่งชุดทหารป่า ประดับดาวแดงเต็มยศเข้ามอบตัวเพื่อสู้คดีจากเหตุการณ์จลาจลช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมากับ เจ้าหน้าที่ จ.นครศรีธรรมราช ก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า เป็นกระบวนการ คอมมิวนิสต์ หลงยุคที่สังคมไทยยอมรับไม่ได้ หรือแม้กระทั่งสังคมโลกเองก็ไม่ยอมรับเพราะ มีการพิสูจน์แล้วว่าการปกครองด้วยระบอบสังคมนิยม สุดท้ายก็ไปไม่รอด และก็มีการปรับเปลี่ยน ดังนั้นการต่อสู้ของคนเหล่านี้จึงเป็นเพียงการต่อสู้ของพวกไดโนเสาร์หลงยุค การแต่งชุดทหารป่าของ นายสุรชัย เป็นการแสดงความเหิมเกริม ท้าทายอำนาจรัฐ ซึ่งจำเป็นที่เจ้าหน้าที่บ้านเมือง และฝ่ายความมั่นคงจะต้องดำเนินการ ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไปอย่างเด็ดขาด

 

 

แกนนำเสื้อแดงเชียงใหม่มอบตัวสู้คดีปิดถนนเพิ่ม 2 ราย

ส่วนที่ จ.เชียงใหม่ เมื่อเวลาประมาณ 13.30 น. วานนี้ (28 เม.ย.) ASTVผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า นายมานะ พันธ์ไพบูลย์ หรือดีเจ ป.เป็ด และนายไพบูลย์ ชูชัย หรือดีเจลุงบุญ ซึ่งเป็น 2 ใน 5 แกนนำเสื้อแดงเชียงใหม่ที่ถูกออกหมายจับจากกรณีนำมวลชนและรถสี่ล้อแดงรับ จ้างปิดถนนรอบประตูท่าแพ กลางเมืองเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 10 เม.ย.52 ได้เดินทางเข้ามอบตัวที่สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่โดยมีนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย พร้อมกลุ่มผู้สนับสนุนเสื้อแดงในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ จำนวนหนึ่งเดินทางมาให้กำลังใจด้วย

 

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้ฐานความผิดตามหมายจับว่าร่วมกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่การกระทำภายใต้ความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อให้เกิดความ ไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรหรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง และหยุดหรือจอดรถในลักษณะที่ไม่ปลอดภัยและเป็นการกีดขวางการจราจร โดยตั้งวงเงินประกันตัวผู้ต้องหาไว้รายละ 100,000 บาท ซึ่งนายสุนัยได้ใช้ตำแหน่ง ส.ส.ประกันตัวให้

 

นายสุนัยกล่าวว่า การเดินทางมาในครั้งนี้ เนื่องจากผู้ต้องหาได้ร้องขอไปที่พรรคเพื่อไทยว่าไม่มีหลักทรัพย์ประกันตัว ทางพรรคจึงได้ส่งให้ตนเองมาช่วยดูแล ซึ่งก็ได้ใช้ตำแหน่ง ส.ส.สัดส่วนประกันตัวให้ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับเคียดแค้นและรู้สึกว่าไม่ได้ รับความเป็นธรรมจากการที่ต้องถูกออกหมายจับ

 

สำหรับผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับจากการกระทำความผิดในครั้งเดียวกัน นั้น มีด้วยกัน 5 คน ได้แก่ นายสิงห์คำ นันติ, นายไพบูลย์ ชูชัย, นายมานะ พันธ์ไพบูลย์, นายธานิน ประดิษฐพันธ์ และนายสุรพล ศุภางครัตน์ ซึ่งนายสิงห์คำ และนายธานิน หรือดีเจ ย.ยุ้ย ได้เข้ามอบตัวแล้วก่อนหน้านี้ ขณะที่นายสุรพลยังไม่ได้เข้ามอบตัว แต่ได้ติดต่อมาว่ากำลังทำธุรกิจอยู่ที่ประเทศลาวและจะเดินทางมามอบตัวใน เร็วๆ นี้ นอกจากนี้ มีรายงานข่าวว่าเจ้าหน้าที่เตรียมออกหมายจับผู้ต้องหาในความผิดเดียวกันนี้ อีก 1 คน คือ ดีเจหนึ่ง โดยกำลังอยู่ระหว่างสืบหาชื่อจริง นามสกุลจริง

 

 

ที่มา: เรียบเรียงจากไทยรัฐ คมชัดลึก และ ASTVผู้จัดการออนไลน์




http://www.prachatai.com/05web/th/home/16658

โดย : ประชาไท   วันที่ : 29/4/2552


Hotmail® goes with you. Get it on your BlackBerry or iPhone.

รายงานพิเศษ: เสียงจากเตียงพยาบาล ชะตากรรม ของ ‘ด่านหน้า’ สามเหลี่ยมดินแดง

รายงานพิเศษ: เสียงจากเตียงพยาบาล ชะตากรรม ของ 'ด่านหน้า' สามเหลี่ยมดินแดง 

เสียงจากผู้ชุมนุม 2 รายที่ได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมที่สามเหลี่ยมดินแดงในช่วงเช้ามืดของวันที่ 13 เมษายน 2552  และพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึกจนถึงวันให้สัมภาษณ์คือวันที่ 27 เมษายน พวกเขาเล่าถึงเหตุการณ์ที่พวกเขาประสบ และแรงผลักดันที่ทำให้เขาเข้าร่วมชุมนุมในครั้งนี้


อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนยังไม่ได้รับการติดต่อจากหน่วยงานภาครัฐในเรื่องการจ่ายค่าชดเชยแต่อย่างใด แม้ทางโรงพยาบาลระบุจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด

 

ขณะเข้าสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์ไม่ได้แสดงตัวเป็นสื่อมวลชนต่อพยาบาล ในภายหลังจึงถูกพยาบาลต่อว่าเนื่องจากพยาบาลระบุว่าต้องส่งรายงานให้กับ ผอ.โรงพยาบาลด้วยหากมีสื่อมวลชนเข้าสัมภาษณ์ อย่างไรก็ตาม จากการสังเกตพยาบาลให้การดูแลพวกเขาอย่างดี เป็นกันเอง และก่อนหน้านี้มีผู้ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนบ้าง ทั้งนี้ รายชื่อและข้อมูลของพวกเขาก็ได้จากกลุ่มผู้ชุมนุมเมื่อครั้งไปชุมนุมที่ท้องสนามหลวงเมื่อวันที่ 25 เมษายน

 

 

 

สนอง พานทอง 

ช่างซ่อมรถ อายุ 34 ปี

 

ข้อมูลเฉพาะ: พื้นเพสนองเป็นคนบุรีรัมย์ แต่มาเป็นช่างซ่อมรถอยู่ที่ กทม. เป็นสิบปีแล้ว โดยเป็นลูกจ้างอยู่ที่อู่ของญาติแถวถนนวิภาวดีรังสิต ได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืน ซึ่งเขาระบุว่าเป็นกระสุนขนาด 9 มม. เข้าที่ลูกสะบ้า (หัวเข่า) ด้านขวา เข้าทำการผ่าตัดแล้ว 4 ครั้งในช่วง 2 สัปดาห์ที่อยู่โรงพยาบาล เนื่องจากบาดแผลติดเชื้อ เพราะการกระโดดลงไปหลบทหารในคูน้ำครำ

 

"พอทหารเริ่มสลาย ผมอยู่ตึกพีเอ็ม ไปหาเพื่อน ยังไม่ทันดับเครื่องรถ เพื่อนบอกสลายแล้ว ก็เลยพากันบึ่งมา มาถึงแก๊สน้ำตามันเริ่มจางแล้ว เห็นมีรถเมล์จอดขวาง ก็เดินมาเรื่อยผ่านรถเมล์ ปรากฏว่าทหารก็ยิงปืนขึ้นฟ้ารัวๆ พวกเราก็หมอบลงกับพื้น แล้วก็คลาน หมอบ คลาน หมอบ คลาน อย่างนี้ พอเงียบไปซักพัก เหมือนเขายิงหมดแม็กแล้วก็เปลี่ยนกระสุน เงียบไปซักพัก ก็ลุกขึ้นวิ่งใส่เขาเลย บางคนก็วิ่งไปหลบตามต้นไม้ไป วิ่งเข้าใส่เขาด้วยกำปั้นเปล่าๆ นี่แหละ พอชุดที่สองดัง ก็มีเพื่อนเราโดน ที่เห็นๆ คือเลนฝั่งขวาที่มีเกาะกลางกั้น มีร่วงหลายคน ทีนี้มันเลยกลายเป็นความโกรธ เอ๊ะ กูมามือเปล่านะ มึงยังยิงพวกกูอีกเหรอ ที่เราขว้างเราก็มีแค่หินกับไม้ คุณคิดดูว่าไม้ ระยะขว้าง 10 กว่าเมตร มันจะแรงได้แค่ไหน เขาก็มีโล่"

 

"ตอนที่ผมโดนยิงนี่ วิ่งไปวิ่งมา ไปอยู่ห่างไม่เกิน 20 เมตร คิดดูรถทัวร์คันนึงยาว 12 เมตรนะ ผมเข้าใกล้จนเห็นเลยว่าทหารตั้งอยู่ 3 แถว แถวแรกเป็นไอ้เณรถือโล่ แถวสองนี่ปืน แถวสามตามเก็บ มันจะมีรถยีเอ็มซีวิ่งตามตูดมาห่างๆ ที่ผมโดนยิงก็คือว่า ผมจะเข้าไปดึงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง คุณเห็นกระสุนที่เขายิงขึ้นฟ้าไหม เขาเรียก กระสุนสองวิถี ก็คือกระสุนจริงนั่นแหละ กระสุนนี้มันมีสารอะไรบางอย่าง พอยิงแล้วมันจะมีเป็นแสงด้วย ปกติมันจะยิงขึ้นฟ้า แต่ผมอยู่หลังต้นไม้ เห็นมันมีอยู่ 2 นัดที่วิ่งมาในแนวราบ แล้วเด็กหนุ่มที่เดินหน้าผม เขาถอดเสื้อแล้วก็ก้าวขาจากฟุตบาทลงไปบนถนน ผมก็เป็นห่วงเขาก็เลยจะดึงเขาเข้ามาหลบ พอก้าวไปเขาก็โป้งเข้าขาผมเลย"

 

"ผมก็ตะโกนว่า เฮ้ย ผมโดนยิง พวกเราก็รีบเข้ามาช่วย เอามอเตอร์ไซด์มา ผมบอก โอ๊ย ขึ้นไม่ได้หรอก ผมโดนยิงขา โดนยิงลูกสะบ้า ขยับขาไม่ได้ ก็พยายามเก็บไม้แถวนั้นจะเอามาดามกัน ระหว่างนั้นทหารก็กรูเข้ามาอีก ทุกคนก็หนีหมด เหลือไอ้รัก (ไม่ทราบสะกดอย่างไร-ประชาไท) อยู่คนหนึ่ง เพื่อนผม มันไม่ได้โดนยิงโดนอะไร มันทิ้งผมไม่ได้ พอกอดคอผมได้มันก็พาผมโดดลงน้ำครำ สัญชาตญาณเอาตัวรอด ทั้งๆ ที่รู้ว่าหนีลงน้ำก็ไม่รอดหรอก ทหารมาก็ยิงตามลงไปอีก 2 นัด แต่ไม่โดน แล้วเขาก็ลากผมขึ้นมา ผมบอก พี่ ผมโดนยิง เขาบอกเดี๋ยวกูเอาส่งโรงบาล เขาก็มาส่งจริงๆ โรงพยาบาลนี้แหละ"

 

"พอมาถึงปุ๊บ พวกพลเปลเขาก็เตรียมจะเอาผมลง มันก็ออกรถเลย แล้วก็เอาผมไปขังไว้ที่ พล 1 ร.อ. จนถึงแปดโมงเช้า โดยไม่ได้ปฐมพยาบาลอะไรเลย แล้วมันก็ลากผมออกมาสอบ ลากนะ หิ้วปีกสองข้างลากมา ขาก็ถูกับพื้น เลือดก็ไหล แล้วก็วางผมกองไว้กับพื้น (เสียงเริ่มสั่น) เขาก็จะสอบ แต่พอดีเห็นสภาพผมไม่ค่อยไหวแล้ว ไม่มีสุนัขตัวไหนมันพูดอะไรเลย เผอิญทหารเสนารักษ์เขาผ่านมา เขาก็เลยปฐมพยาบาลให้ ห้ามเลือด เขาก็ถามว่าทำไมไม่เอาผมไปส่งโรงบาลก่อน เขาโดนหนักนะ นั่นแหละ มันถึงได้เลิ่กลั่กๆ กัน แล้วก็มีนายทหารคนหนึ่งเข้ามา ในชุดเครื่องแบบสนาม แกก็บอก เออ น้องใจเย็นๆ เดี๋ยวพี่จะดูแลให้เต็มที่ แต่พี่ไม่มีอำนาจสั่งการอะไรนะ แล้วก็โทรหาระดับนาย นาน (เน้นเสียง) กว่ารถพยาบาลจะมารับผม รถพยาบาลก็ไม่ใช่ด้วย เป็นรถทหารนั่นแหละ แล้วก็เอามาส่ง ผมผ่าตัด 4 รอบแล้ว มันติดเชื้อ เพราะน้ำครำน่ะ...."

 

"ทำไมเราต้องขอพูดว่าสื่อไม่เป็นกลาง ก็สื่อไม่เป็นกลางจริงๆ แล้วผมก็ไม่เข้าใจแกนนำ คุณก็ไปที่ช่องสามเลยสิ เอาผมไปก็ได้ สรยุทธ์ สุทัศนะจินดา เนี่ยอ่านข่าวที่นักข่าวเขาเสนอตามรัฐปาวๆ  อะไรก็แดงผิดๆ  นักข่าวเนชั่นมา ผมก็ตะเพิดไปแล้ว จะคุยทำแพะอะไร พวกเดียวกับสนธิ (ลิ้มทองกุล) ทั้งนั้น เด็กที่มาทำข่าวทำข่าวไปดี แต่พอไปถึงกอง บก.มันคนละเรื่องมาตลอด ผมก็ไม่รู้ว่าผู้ใหญ่ แกนนำเขาคิดยังไง ต่อสู้ยังไงแค่ชิงพื้นที่ทางสื่อก็ยังไม่ได้ ทั้งๆ ที่เรามีความจริงทั้งนั้น แต่เรากลับสู้เขาไม่ได้ ไม่เข้าใจ อย่างไทยรัฐ ก็ไปไล่จี้ดิ เอาผู้เสียหายเข้าไปเลย"

 

"หรือพวกที่เขียนเชียร์ประชาธิปัตย์อย่างนู้นอย่างนี้ แต่ถามว่าคนที่เขารักทักษิณเขาผิดหรือ นายกฯ ประเทศไทยมีมากี่คน มีเคยมีซักครั้งไหมที่ประชาชนเรียกร้องให้กลับมาแบบนี้ ฉะนั้น กรุณาเอาหัวแม่ตีนคิดหน่อยว่าเหตุมันเพราะอะไร แสดงว่าเขาก็ต้องมีส่วนดี และเพราะความไม่เป็นธรรมที่ผ่านมาใช่ไหม ก็ไม่รู้เหมือนกันพวกแกนนำคิดอะไร ไปเรื่อยๆ ไม่ on time, on target เลย ช่องสามเนี่ย (ชี้ไปที่โทรทัศน์ ที่กำลังเปิดรายการข่าวช่อง 3-ประชาไท) ผมมีทั้งลูกกระสุน มีใบรับรองแพทย์ ผมเอาแน่ แกนนำไม่เอา ผมเอาเอง"

 

"ยังไม่ได้เจอแกนนำใครเลย มีหมอเหวง (โตจิราการ) มา 3 นาทีก่อนผมผ่าตัด กับครูประทีป (อึ้งทรงธรรม) ก็มา พวกแกนนำ พวกเขาเป็นไอดอล มาให้กำลังใจซักหน่อยก็ดี  หลายๆ ครั้งการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย นี่พูดไม่ได้อะไรหรอกนะ แต่มันไม่ค่อยมีหรอกที่แกนนำจะมาโดนยิงอย่างเรา เขาเป็นผู้นำทางความคิดก็เข้าใจ แต่ผมก็อยากเจอพวกวีระ (มุสิกพงศ์) ณัฐวุฒิ  (ใสยเกื้อ) จตุพร (พรหมพันธุ์) ถามว่าท้อมั้ย ก็นิดหนึ่ง แต่ยังไงก็ต้องสู้ต่อ"

 

"ถามว่าออกมาสู้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ ตัวหรือใจล่ะ ถ้าใจก็ตั้งแต่บัง (พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน) ออกมาปฏิวัติแล้ว แต่ตัวออกมาสู้ก็ตั้งแต่มีการยิงที่วิภาวดีซอย 3 ตั้งแต่นั้นมาก็สู้เต็มตัวมาตลอด อย่างน้อยได้คุยได้ระบายอะไรกับคุณบ้างมันก็ดีขึ้นนะ"

 

"ผมยังรอโอกาสเปิดว่าจะมีใครซักคนมาให้เราพูดความจริงว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง เห็นอะไรมาบ้าง ต่อหน้าต่อตาเรา คุณเชื่อไหมว่าผมฝันมา 2 คืนติด สตาร์ทที่เดียวกันและจบลงที่เดียวกันเด๊ะ เหมือนฉายซีดี ทุกคนยืนอยู่ยังไง ใครเดินยังไง ใครล้มยังไง ใครขว้างก้อนหินยังไง เหมือนกันเป๊ะสองคืนมาแล้ว"

 

"ถ้าผมทำอาชีพนักข่าว ผมจะเก็บภาพพวกนี้ ผมคงรุ่ง แต่บังเอิญผมไม่มีความรู้ตรงนี้ นักข่าวก็พอมีตอนนั้น แต่เขากลัว เข้าไม่ถึงด้านหน้าหรอก"

 

"ถามว่าผมมาสู้เพื่ออะไร ก็กฎหมายมันสองมาตรฐาน ปากก็พูดปาวๆๆ ไม่สองมาตรฐาน ไม่สองได้ยังไง ก็ยิงซอย 3 เห็นอยู่โต้งๆ จับก็ไม่จับ ตำรวจก็อยู่ ทะเบียนเจ้าของก็มีให้ ยังไม่จับเลย แต่มาแหกปากบอกว่ามาตรฐานเดียวกัน บ้ารึเปล่า วันๆ นึงจบอ๊อกฟอร์ดมา ไม่ทำไร นั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อคิดคำพูดสวยๆ ผมถามว่าอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) มานั่งกับผม แล้วพูดกันภาษาบ้านๆ กับผม ให้ผมถามเลย ผมอยากรู้มันจะมีปัญญาตอบไหม อ๊อกฟอร์ด อ๊อกเหล็กอะไรน่ะ คุณให้สัมภาษณ์ว่ากระสุนกระดาษ กระดาษพ่อกระดาษแม่มึงเหรอเล่นเสียสะบ้ากูทะลุเลย ผมพูดแล้วอารมณ์มันขึ้นทุกที"

 

"คุณคิดว่ายังไงคุณก็ถูก เอะอะอะไรก็ไม่ได้รับรายงาน แสดงว่าคุณเป็นนายกฯ ที่ไม่ได้ลงพื้นที่เลยนี่หว่า อย่างนี้ลูกน้องสอพลอหน่อย บอกไม่มีอะไร ก็ไม่มีหมด พูดมาได้ว่าเช็คจากโรงพยาบาลทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑลแล้วไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืน เอาสมองส่วนไหนให้สัมภาษณ์ คนอย่างนี้เหรอจะเป็นผู้บริหารประเทศ"

 

"บอกคนเสื้อแดงสู้เพื่อทักษิณคนเดียว สำหรับผม ถ้าผมบอกว่า ใช่ล่ะ นายกฯ ผ่านมากี่สิบคน มันมีคนที่ยิงตรงเป้าไหม ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลมากี่สมัย เป็นนายกฯ เยอะกว่าคนอื่นด้วยซ้ำไป เคยมีความคิดแบบนี้บ้างไหมล่ะ ที่มันเป็นอย่างนี้เพราะมันอิจฉา เขาดีแต่ปั้นคำพูดสวยหรูทุกอย่าง ถนัดแต่เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น เหตุผลเรื่องการขายหุ้นก็อธิบายหมดแล้ว ก็ยัง 'ขายชาติๆ' พอ 'ขายชาติ' ไม่ได้แล้วก็ 'ไม่จงรักภักดี' พูดได้แค่นี้"

 

"ผมบอกให้ ถ้าผมเกิดและโตในสมัยทักษิณอยู่ สมองระดับผม รับรองไปได้ไกลกว่าเป็นช่างซ่อมรถ เพราะผมเรียนเก่งแต่เด็ก แต่บ้านจนมาก ถ้ามีเงิน มีโอกาส มันไปได้ไกลกว่านี้ สมัยทักษิณผมก็เห็นว่าอนาคตลูกหลานสดใสมากขึ้น อาจจะได้ไปหนึ่งอำเภอหนึ่งนักเรียนนอกบ้างก็ได้ ฝันไว้ แต่ตอนนี้มันสลายทุกอย่าง คุณไม่ต้องการให้คนจนโงหัวได้ คุณไม่ได้รับรู้ความรู้สึกของคนจนชาวรากหญ้าหรอก ที่เขารักทักษิณเพราะมันมีเหตุให้รักให้ชอบ เพราะมันเข้าใจคนจน อภิสิทธิ์มาบริหาร คิดได้ยังไง ผู้ประกันตนเงินเดือนไม่เกิน 15,000  รัฐบาลให้ 2,000 แล้วยายมีขายไก่ ตาใสขายแกง แล้วผมซ่อมรถเนี่ย จะมีสิทธิได้กับเขาไหม แค่นี้คุณยังไม่มีสมอง ไม่เอารากหญ้าเลย คุณจะไปให้ทำเ_ย อะไรเงินเดือนตั้ง 15,000 ผมไม่รู้จะพูดยังไงกับรัฐบาลชุดนี้"

 

"ผมโกรธ โกรธมาตั้งแต่มันปฏิวัติ ตอนนั้นเศรษฐกิจก็ยังดีๆ ไม่ได้แย่นะ กำลังจะเป็นผู้ให้กู้แล้ว คุณลองถามพวกแม่บ้าน มอเตอร์ไซด์ พวกแท็กซี่ พวกอะไรต่อมิอะไร เขารักเขาชอบทักษิณเพราะอะไร ผมเป็นคนที่โกรธแล้วช้างจะตัวเท่ามดเลย แต่ผมไม่ได้จะโกรธอะไรง่ายๆ ปกติจะเฮฮา แต่มันหลายเรื่องหลายราวเหลือเกินที่ผ่านมา"

 

 

 

 

 

ศุภสิทธิ์ คนโทสิมพลี

ช่างเหล็กไซท์งานก่อสร้าง อายุ 46 ปี

 

ข้อมูลเฉพาะ: พื้นเพเป็นคนปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ เป็นช่างเหล็กในไซท์งานก่อสร้างแห่งหนึ่ง เริ่มติดตามการเมืองมาตั้งแต่หลังรัฐประหาร และร่วมชุมนุมตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 ได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืน โดยไม่ได้เห็นหัวกระสุน แพทย์ระบุว่าเป็นลูกซองสั้น ปัจจุบันแพทย์อนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว แต่ยังติดต่อญาติมาเซ็นรับรองไม่ได้

 

"ผมก็มาชุมนุมเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ที่มาชุมนุมสามเหลี่ยมดินแดงเพื่อกดดันรัฐบาลอภิสิทธิ์ให้แก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ ให้ยกเลิก 50 แล้วเอา 40 มาใช้ เพราะปัจจุบันมันยังไม่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ผมก็เลยเข้ามาชุมนุม"

 

"มาชุมนุมตั้งแต่เดือนมกรามาแล้ว ผมทำงานที่กรุงเทพฯ แกนนำเขาจะประกาศว่าจะชุมนุมที่ไหนบ้าง ผมติดตามตลอด และไปตลอด ที่เขาออกไปต่างจังหวัดผมไม่ได้ติดตาม เพราะต้องทำงานในกรุงเทพฯ พอเขานัดชุมนุมใหญ่เมื่อวันที่ 26 มีนา ผมก็เลยเข้ามาที่สนามหลวงครั้งหนึ่ง แล้วก็ยกขบวนกันเข้าไปที่รอบทำเนียบฯ ผมมาคนเดียว ไซท์งานนั้นชวนเพื่อนก็ไม่มีใครมา ผมทำงานก่อสร้าง เป็นช่างเหล็ก ผมมาทุกวัน เลิกงานก็มา วันนั้นก็กลัวเขามาสลาย และกลัวมือที่สองที่สามเข้ามาทำร้าย แต่ผมก็ยังทำงานอยู่ เพราะถ้าผมไม่ทำก็จะไม่มีรายได้อะไร ที่ผมไปไม่ได้มีค่าจ้างอะไรเลย ค่ารถเมล์ก็ต้องออกเอง เสื้อแดงไม่มีการจ้างใครทั้งนั้น ใครมีอุดมการณ์ที่จะกอบกู้ประชาธิปไตยก็เข้าร่วมได้หมด"

 

"ที่สามเหลี่ยมดินแดง ก็คือ แกนนำเขาประกาศรับอาสาสมัคร คืนนั้นจำนวน 50 คนเอง ผมก็มา แต่ปรากฏคนมากันร้อยสองร้อยคน ตอนนั้นผมรู้ว่าทหารจะต้องมาสลายจุดนี้แน่นอน ผมตั้งเป้าหมายในความคิดของผมเองว่าเขาจะโจมตีจุดไหนๆ เพราะที่วิภาวดีมีทหาร ถ้าเขาไม่เข้าเส้นพหลโยธิน ก็จะเข้าทางสามเหลี่ยมดินแดงเข้าไปถนนศรีอยุธยา จุดนี้ ผมก็เลยมาเฝ้าสังเกตการณ์ ก็ไม่ได้หลับเลย อ่อนเพลียมาก ไม่ได้นอนตั้งหลายคืน ผมก็เอนกายตรงสนามหญ้าสามเหลี่ยมดินแดง แต่หูผมฟัง คอยฟังรถถัง รถถังจะมาแบบไหนผมรู้ ถนนนี่เสียงจะดังเหมือนฟ้าผ่า ฮึ่ม ฮึ่ม ฮึ่ม มาเลยแหละถ้าเป็นรถถัง ผมก็หูแนบดินไว้ แต่ก็ไม่มีวี่แวว"

 

"จนถึงตีสี่ แกนนำก็ประกาศว่าขณะนี้เวลาศูนย์สี่นาฬิกา ผมก็ยังได้ยินอยู่นะ ทีนี้ซักครู่นึง ก็มีม้าเร็วที่เป็นมอเตอร์ไซด์เสื้อแดง เขามาแจ้งว่าทหารเข้ามาแล้ว พวกผมก็เลยพากันลุก ตั้งหน้ากระดาน เพื่อจะไปป้องกันทหาร ไม่ให้มาสลายกลุ่มเสื้อแดงที่สามเหลี่ยม พวกผมก็ตั้งหน้ากระดาน มีคนวิ่งเข้าไป ใกล้จะถึงแล้ว ทหารเขายิงปืนไล่พวกผมเลย ขึ้นฟ้าหรือลงดินก็ไม่รู้แหละ แต่มันเข้าใกล้กันมาก แล้วเขาก็เขวี้ยงแก๊สน้ำตาเข้ากลุ่มเสื้อแดง เป็นคล้ายๆ ถังดับเพลิงอันเล็กๆ สีขาวๆ อะลูมิเนียม เต็มถนนไปหมดเลยทีนี้ ผมก็โดน แสบตาเหมือนกัน ดีที่ผมพกน้ำมา แต่บังเอิญบุญ เทพยดาฟ้าสางอะไรไม่รู้ ลมพัดกลับไปทางกลุ่มทหาร ทหารต้องร่นถอยกำลัง"

 

"พวกผมก็เคลียร์อยู่ในสนาม ตอนนั้นยังไม่เห็นคนเจ็บ เห็นแต่คนกุมหน้า ถอยกันหมดแล้ว แต่ผมไม่ถอย พอผมล้างหน้าแล้วก็สู้ต่อ ยังมีคนสู้ต่อ ก็ตั้งหน้ากระดานสู้ทหารอีก ไม้คนละท่อนเข้าสู้ทหาร ตอนนั้นคิดว่ายังไงเขาต้องเอาเราแน่ เพราะเสียงปืนลั่นแล้ว ถ้าเขาไม่ยิงปืนวันนั้น ก็คงจะพอเจรจากันได้ ด่านทหารกับด่านพวกผม ผมจะอธิบายว่าเรามาชุมนุมเพื่อกดดันเรียกร้องประชาธิปไตยกับรัฐบาล ไม่ได้มีทิฐิอะไรที่จะมาทะเลาะเบาะแว้งอะไรกับทหารเลย ทหารถือปืนมาแบบนี้ มาถึงเหมือนเตรียมการมาฆ่าประชาชน ตอนนั้นผมบันดาลโทสะแล้ว ถือไม้วิ่งเข้าสู้ทหารเลย ยิงแก๊สน้ำตาก็ยิงแล้ว ยิงก็ยิงแล้ว เราดาหน้าเข้าไปใหม่ มีประมาณ 6-7 คน"

 

"ที่มากันเป็นร้อยอยู่ด้านหลังหมดแล้ว โดนแก๊สน้ำตา ฟูมฟายกันแล้ว แต่พวกผมไม่สนแล้ว ยังไงเขาก็ต้องฆ่าเรา ตายก็ตาย ต้องสู้ ตอนนั้นทหารก็ยังไม่หยุดยิง ยังยิงอยู่อย่างนั้น ยิงไม่หยุดไม่หย่อน วิ่งเข้าสู้ แต่ตอนหลังผมคิดว่าคงสู้ไม่ไหวแล้ว กำลังคนผมน้อย ผมเริ่มใจอ่อน แล้วจะวิ่งหนีทหาร วิ่งเข้าไปหลบในปั๊มน้ำมันเชลล์ ห่างทหารไม่เท่าไหร่ แล้วเขาก็ยิงตามผมมา ผมก็ล้ม ไปไม่ไหว ก็นำพาชีวิตผมกระเสือกกระสนเข้าไปในปั๊มน้ำมัน ไปหลบที่ต้นดอกไม้ต้นหนึ่ง กระเสือกกระสนด้วยขาเดียว มือกุมขาอีกข้างหนึ่ง กระดูกผมแตก โดนยิงตรงหน้าแข้งขวา กระดูกแตกร้าวมาด้านบน ผมก็ไปซุกอยู่ตรงต้นไม้ ทหารก็รุดหน้าไป หางแถวก็ผ่านมา ตรงหางแถวก็จะมีแพทย์ทหารแล้วก็มีหน่วยคุมด้านหลังอีก เขาเห็นก็เข้ามาทำร้ายผม ตีผม เข้าไปตีจนผมคิดว่าจะตายคาที่อยู่ตรงนั้น แต่ซักพักหนึ่งยังฟื้นสติขึ้นมาได้ ตีปุงปังเลย ใช้กระบอง ตีผมเสร็จก็ลากผมออกมาถนนใหญ่ ถอดรองเท้า เอกสารที่ผมคาดเอวอยู่เอาของผมไปหมด กางเกงก็ตัดของผมทิ้ง ทีนี้ก็จับขึ้นเปลทหารยกขึ้นรถ แต่ก็ยังดี เขายังมีจิตใจไม่พาผมหนีไปลพบุรี แต่พามาโรงพยาบาลนี่"

 

"ก็มาเจรจากับผอ.อยู่พักหนึ่ง ผอ.ก็รับ ยังไงเขาก็คงจะช่วยชีวิตผม รออยู่ชั่วโมงสองชั่วโมงก็ได้ผ่าตัด เสร็จก็เอาผมพักฟื้นจากยาสลบ ผมก็ยังมึนๆ งงๆ มาอยู่บนตึกเกือบเจ็ดโมงแล้วมั้ง สว่างโล่แล้ว เสียงปืนยังไม่หยุดเลย ผมไม่รู้เลย แต่ประเมินว่าคนตายเยอะแน่ ก็เสียงปืนยิงไม่หยุดตั้งสองสามชั่วโมงขนาดนั้น"

 

"ของผมผ่าตัดแล้วก็เอ็กซเรย์พบกระดูกหักแล้วก็แตกร้าวขึ้นมาด้านบนเป็นเสี่ยง ท่าน ผอ.ก็มาบอกตอนพักฟื้นว่า ไม่เป็นไร โรงพยาบาลจะรักษาจนหาย ไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ผมก็ชื่นใจ แพทย์ผ่าออกมาชันสูตร แล้วมาบอกว่ากระสุนลูกซองสั้น ผมก็ไปโต้กับนายแพทย์อีกครั้งหนึ่งว่า ทหารจะพกปืนลูกซองสั้นเหมือนเอกชนนี่เป็นไปไม่ได้ ทหารต้องติดอาวุธสงครามเท่านั้น ผมไม่เห็นหัวกระสุน ผอ.ท่านเก็บไว้เลย ไม่ให้ผมดูเลย แต่มาบอกว่าเป็นลูกซองสั้น ผมคิดว่าไม่เป็นอาก้า ก็เอ็ม 16  หรือไม่ก็ 9 มม. ของทหารสัญญาบัตรที่จะพกได้ พวกสัญญาบัตรนี่เขาจะมีกุญแจ วิทยุ ปืนสั้น ปืนยาว"

 

"ตอนผมมานี่เขาเอาใส่รถมาคนเดียวโดดๆ เลย ตอนนั้นไม่กลัวแล้ว ตายเป็นตายแล้วจิตใจผม ผมโส (ไม่คิดหน้าคิดหลัง ไม่มีพะวง สู้ตาย) ตั้งแต่ตอนเอากระบองมาตีผม ตอนนั้นทำใจแล้ว มันมืดไปเลย แต่มันยังไงไม่รู้ มันยังโงกเงกๆ ขึ้นมาได้ ทหารแพทย์ที่มีกากบาทสีแดงด้านซ้ายเอาผมมาส่ง ผมมารอคิวเข้าห้องผ่าตัด เพราะทหารก็โดนเหมือนกัน เขาเอาทหารเข้าก่อน ผมก็ไม่ทราบว่าเขาโดนอะไร กลุ่มฝ่ายขวาก็บุกสู้กับทหารด้วยไม้เหมือนกัน กลุ่มนี้มี 20 กว่าคน"

 

"อ้อ ตอนอยู่ในปั๊มก็มีเพื่อนเสื้อแดงยืนหลบกระสุนอยู่เหมือนกัน ยืนกันโหงกเหงกๆ อยู่ ผมก็มองเห็นสองคน เลยกวักมือเรียกให้มาช่วย เขาก็อุ้มผมขึ้นจริงๆ สองมือผมก็กอดขาผมไว้ แล้วทหารก็กรูมา ตีผมด้วย ตีคนอุ้มด้วย บอกให้วาง แล้วเพื่อนผมยังร้องว่า ผมจะเอาเพื่อนผมเข้าโรงบาล "วางเดี๋ยวนี้เลย" ทหารก็ขู่ เขาก็วางผมลง แล้วก็ตีผมอีก สุดท้ายก็มารักษาตัวที่นี่ ตอนตกฟากเข้า 13 แล้ว"

 

"วันนี้วันที่ 27 แพทย์ให้อนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ตั้งแต่วันที่ 24 ทีนี้ต้องรอญาติมาเซ็นออกแล้วก็ไปเข้าเฝือกที่บ้าน ต้องรักษาเป็นปีหมอบอก แต่ญาติไม่รู้เรื่องรู้ราว พ่อแม่แก่ๆ อยู่ที่บ้าน ญาติในกรุงเทพฯ ก็มีหลานที่เขาได้รู้ข่าวจากโทรทัศน์ก็มาเยี่ยมวันก่อน แต่ผมไม่ได้ขอเบอร์โทรศัพท์เขาไว้ ปากกาก็ไม่มี สมุดก็ไม่มี กำลังเจ็บ และคิดว่าจะได้ออกจากโรงบาลเอง ก็เลยติดต่อกันไม่ได้ แต่เขาคงพยายามรายงานพ่อแม่พี่น้องผมที่บ้านนอก แต่ผมติดต่อไม่ได้เพราะว่าไม่มีเบอร์ใครไว้"




http://www.prachatai.com/05web/th/home/16650

โดย : ประชาไท   วันที่ : 29/4/2552


Windows Live™: Keep your life in sync. Check it out.

ศาลฎีกาไม่รับพิจารณาใหม่ คดีหมิ่นอดีตอธิบดีกรมวิชาการเกษตรมีสายสัมพันธ์กับ บริษัทยักษ์จีเอ็มโอ

ศาลฎีกาไม่รับพิจารณาใหม่ คดีหมิ่นอดีตอธิบดีกรมวิชาการเกษตรมีสายสัมพันธ์กับ บริษัทยักษ์จีเอ็มโอ 

วานนี้ ( 30 เม.ย.) เวลา 09.00 น. อาคารศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลฎีกานัดฟังคำตัดสินคดีที่ นายอนันต์ ดาโลดม อดีตอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ฟ้อง นายเดชา ศิริภัทร ผู้อำนวยการมูลนิธิข้าวขวัญและประธานเครือข่ายเกษตรกรรมยั่งยืน กรณีหมิ่นประมาท ว่าบรรษัทจีเอ็มโอซื้อตำแหน่งอธิบดีให้ ตั้งแต่ปี 2543 โดยคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิด แต่จำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

 

ศาลฎีกาพิพากษาให้ยืนตามคำพิจารณาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ไม่รับพิจารณาใหม่ โดยคำตัดสินของศาลชั้นต้นได้พิจารณาไว้ดีแล้ว   

 

นายเดชา กล่าวกับผู้สื่อข่าวภายหลังรับฟังคำตัดสินว่า ประเด็นที่ถูกตัดสินให้มีความผิดจริงตั้งแต่ในชั้นของศาลชั้นต้นคือ กรณีการกล่าวหาว่า นายอนันต์ ได้รับการแต่งตั้งให้เข้ามาดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยการซื้อตำแหน่ง แต่ส่วนตัวคิดว่าการวิพากษ์วิจารณ์กระทำโดยเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง วิจารณ์โดยสุจริต ไม่ได้ทำเพราะมีความโกรธเคืองกันเป็นการส่วนตัว และสิ่งที่นำมาพูดได้อ้างข้อมูลจากรายงานข่าวเชิงวิเคราะห์ของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ (ชื่อในขณะนั้น)

 

นายเดชาให้ข้อมูลว่า ในชั้นฎีกาได้มีการยกประเด็น เรื่ององค์ประกอบของการหมิ่นประมาท 3 อย่าง โดยยอมรับว่าได้พูดข้อความหมิ่นนั้น และเป็นการพูดในที่สาธารณะ แต่ในส่วนองค์ประกอบทีว่ายืนยันว่าสิ่งที่พูดเป็นความจริงนั้น ไม่ได้มีการยืนยันว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นความจริงแต่เป็นการพูดตามข้อมูลที่อยู่ในหนังสือพิมพ์ แต่คาดว่าไม่ได้มีการพิจารณาโดยให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าว   

 

ทั้งนี้ เขาตั้งข้อสังเกตว่า การที่หนังสือพิมพ์ดังกล่าวมีการตีพิมพ์เผยแพร่อยู่แล้วกลับไม่มีการฟ้องร้อง โดยอ้างว่าข้อมูลในหนังสือพิมพ์ที่กระจายในวงกว้างไม่ทำให้เกิดความเสียหาย แต่การนำมาพูดทำให้เกิดความเสียหายตรงนี้เป็นสิ่งที่น่าสงสัยในการกระทำของผู้ฟ้อง แม้ศาลจะตัดสินแล้วว่าเป็นสิทธิของผู้ฟ้องที่จะฟ้องหรือไม่ฟ้องใคร

 

ในส่วนการบังคับคดี นายเดชากล่าวว่า การที่ศาลไม่รับพิจารณาใหม่ ก็คงต้องกลับไปที่คำพิพากษาของศาลชั้นต้น ซึ่งในตอนนั้นหลังจากฟังคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้วตนเองพร้อมด้วยนางเบญจมาศ ศิริภัทร นายประกันได้นำเงินจำนวน 20,000 บาท ไปชำระค่าปรับตามคำพิพากษาแล้ว ส่วนโทษจำคุกที่รอลงอาญา 1 ปี ได้ปรึกษาทนายทราบว่าการลงโทษได้สิ้นสุดอายุไปแล้ว

 

เมื่อสอบถามถึงการดำเนินการต่อไป นายเดชากล่าวว่าจากการพูดคุยกับกลุ่มเครือข่ายและผู้ที่มาร่วมให้กำลังใจ มีความคิดตรงกันว่า จริงๆ แล้วคดีหมิ่นไม่ควรมารวมกับกรณีเช่นนี้ที่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นการติชม วิพากษ์วิจารณ์บุคคลสาธารณะ เพื่อประโยชน์สาธารณะ ในเรื่องของพฤติกรรมและนโยบาย ซึ่งคิดว่าจะนำไปสู่การรวบรวมกรณีการหมิ่นประมาทที่คล้ายกันนี้ มานำเสนอต่อสาธารณะและน่าจะมีการสัมมนาพูดคุยเพื่อนำไปสู่การแก้ไขกฏหมายในประเด็นดังกล่าว

 

"กรณีแบบเราไม่ควรเป็นคดีหมิ่นประมาท ไม่อย่างนั้นก็เกิดกรณีอย่างนี้อีกเรื่อยๆ แล้วใครจะอยากมาร่วมตรวจสอบ มาวิพากษ์วิจารณ์ " นายเดชากล่าว

  

อนึ่ง การพิพากษาของศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2545 ศาลอาญาใต้พิพากษาให้จำเลยคือ นายเดชา มีความผิดตามประมวลอาญา 328 ลงโทษจำคุก 1 เดือน ปรับ 20,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก (คำฟ้องทีให้จำเลยลงพิมพ์โฆษณาคำพิพากษาคดีนี้ทั้งหมดในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ 3 ครั้ง) จากนั้นนายเดชาได้มีการอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลในวันที่ 14 ส.ค. 2545

 

ทั้งนี้ การฟ้องคดีดังกล่าว อ้างถึงกรณีที่นายเดชา ซึ่งเป็นคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีฝ้ายบีทีหลุดสู่แปลงเกษตรกร และมีบทบาทสำคัญในขบวนการเกษตรกรรมทางเลือกมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่ปี 2527 ได้รับเชิญจากสภาพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ให้เป็นวิทยากร เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 ก.ย.42 ที่โรงแรมปริ๊นซ์ พาเลซ แขวงมหานาค เขตป้อม ปราบฯ กทม.เรื่อง แนวทางการพัฒนาเกษตรแบบยั่งยืน โดยนายเดชาได้บรรยายถึงปัญหาของการปฏิบัติตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (แผนฯ 8) เกี่ยวกับโครงการ เกษตรยั่งยืนที่ไม่เกิดผลในทางปฏิบัติเนื่องจากระบบกระบวนการทำงานและระเบียบปฏิบัติของหน่วยงานในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

 

โดยให้เหตุผลประกอบคำบรรยาย ว่า สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้โครงการเกษตรยั่งยืนไม่สามารถดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมได้เกิดจากผู้บริหารของหน่วยงานระดับกรม อาทิ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตรที่ใช้งบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้าง ซื้อปุ๋ย สารเคมี เมล็ดพันธุ์แจกเกษตรกร ซึ่งตนเห็นว่า การจัดซื้อจัดจ้างเช่นนี้ผู้บริหารน่าจะได้รับผลประโยชน์

 

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมานายเดชา และเครือข่ายสิทธิภูมิปัญญาไทย ได้พยายามชี้ให้เห็นความสัมพันธ์อันใกล้ชิดของ นายอนันต์ ดาโลดม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กับบริษัทข้ามชาติมอนซานโต้ที่ต้องรับผิดชอบกรณีการทำให้พืชจีเอ็มโอ คือฝ้ายบีทีหลุดออกไปปลูกในพื้นที่เกษตรหลายหมื่นไร่ทั้งๆ ที่ไม่ผ่านการทดสอบเรื่องความปลอดภัยทางชีวภาพ และได้นำไปสู่กรณีที่เครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชน 5 องค์กร ได้นำเรื่องเข้าแจ้งความต่อกองปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ดำเนินการกับอธิบดีคนดังกล่าวในข้อหาละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งจนกระทั่งบัดนี้ ยังไม่มีความคืบหน้าแต่ประการใด

 




http://www.prachatai.com/05web/th/home/16685

โดย : ประชาไท   วันที่ : 1/5/2552


Hotmail® goes with you. Get it on your BlackBerry or iPhone.

โหมโรงวันแรงงาน: คลิปรณรงค์ May Day ปีที่ 119 ของสมาพันธ์แรงงานเกาหลี (KCTU)

โหมโรงวันแรงงาน: คลิปรณรงค์ May Day ปีที่ 119 ของสมาพันธ์แรงงานเกาหลี (KCTU) 
 
      

ชุดที่ 1 ความยาว 2.21 นาที (ที่มา: KCTU)

 

ชุดที่ 2 ความยาว 45 วินาที (ที่มา: KCTU)

 

ชุดที่ 3 ความยาว 56 วินาที (ที่มา: KCTU)

 

ชุดที่ 4 ความยาว 59 วินาที (ที่มา: KCTU)

 

 

สมาพันธ์แรงงานเกาหลี หรือ KCTU (Korean Confederation of Trade Unions) ซึ่งมีสมาชิก 6.8 แสนคน จากสหภาพแรงงานที่เป็นสมาชิกมากกว่า 1,200 แห่ง นับเป็นองค์กรแรงงานที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ ได้ทำวิดีโอคลิปรณรงค์การชุมนุมในวันกรรมกรสากลเผยแพร่ในเว็บ http://nodong.org ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของ KCTU ทั้งหมด 4 ตอน โดยมีเนื้อหาเชิญชวนให้ประชาชนเข้าร่วมการชุมนุมและจุดเทียนเนื่องในวันกรรมกรสากล ปีที่ 119 ของโลก ในวันที่ 1 พ.ค. นี้

 

สำหรับความเป็นมาของวันกรรมกรสากล เริ่มต้นจากสหพันธ์แรงงานในสหรัฐอเมริกาและแคนาดากำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1886 เป็นวันนัดหยุดงานครั้งใหญ่ และจัดการชุมนุมเดินขบวนเพื่อเรียกร้อง "ระบบสามแปด" คือ ทำงาน 8 ชั่วโมง พักผ่อน 8 ชั่วโมง และศึกษาหาความรู้ 8 ชั่วโมง มีการเดินขบวนทั่วสหรัฐอเมริกา จนถึงวันที่ 3 พฤษภาคม มีการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่ตรวจชิคาโกกับขบวนการแรงงาน   ทำให้กรรมกรเสียชีวิต 4 รายและบาดเจ็บอีกหลายราย

 

ต่อมาในวันที่ 4 พฤษภาคม ผู้นำแรงงานที่นิยมแนวอนาธิปไตยนัดชุมนุมที่จัตุรัสเฮย์มาร์เก็ต ศูนย์กลางการค้าสำคัญของชิคาโก ในเวลาราวสี่ทุ่มขณะที่ผู้ปราศรัยคนสุดท้ายกำลังกล่าวปิดการชุมนุม และตำรวจกำลังสั่งให้ผู้ชุมนุมสลายตัว ได้มีคนโยนระเบิดลูกหนึ่งใส่แถวของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้ตำรวจนายหนึ่งเสียชีวิตทันที   ตำรวจจึงเปิดฉากยิง มีคนงานยิงตอบโต้บ้าง มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายได้รับบาดเจ็บจากระเบิด แต่ตำรวจอีกหลายคนที่เสียชีวิตนั้นเป็นเพราะการยิงกันเองในหมู่ตำรวจเนื่องจากความมืด ทำให้ตำรวจ 7 นายและกรรมกรอย่างน้อย 4 รายเสียชีวิต กรรมกรที่บาดเจ็บมีเป็นจำนวนมาก

 

จนถึงล่วงมาถึง ค.ศ. 1889 ในการประชุมสมัชชาสังคมนิยมของสภาสากลที่สอง ซึ่งมีตัวแทนจากประเทศต่างๆ เข้าร่วมประชุมถึง 20 ประเทศ มีมติให้ชุมนุมเดินขบวนเรียกร้องเพื่อให้มีการลดชั่วโมงทำงานลงอีกครั้งในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ.1890 และเพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตุจลาจลที่เฮย์มาร์เก็ต การเดินขบวนครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง จนทำให้ชนชั้นกรรมาชีพทั่วโลกพร้อมใจกันกำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปีเป็น "วันกรรมกรสากล" โดยในปีนี้เป็นปีที่ 119 ของการรณรงค์เนื่องในวันแรงงานสากล

 

 

ที่มา: เรียบเรียงจาก

http://nodong.org

และ จุลสารเสมอภาค: ภัควดีเล่าเรื่องกำเนิดวันแรงงาน, ใน ประชาไท, 29 เม.ย. 51




http://www.prachatai.com/05web/th/home/16684

โดย : ประชาไท   วันที่ : 1/5/2552


Hotmail® has ever-growing storage! Don't worry about storage limits. Check it out.