วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

รัฐตั้งคณะกรรมการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-จีน

วันที่ 28 เมษายน 2552
รัฐตั้งคณะกรรมการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-จีน

ที่มา : www.paisalvision.com


     วันนี้ (27 เมษายน 2552) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 106/2552 อาศัยอำนาจตามมาตรา 11 (6) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ตั้งคณะกรรมการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-จีน เพื่อบูรณาการการบริหารงานในด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนระหว่างไทย-จีน 

     คำสั่งดังกล่าวได้แต่งตั้งให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ) เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นรองประธานกรรมการ และผู้บริหารหน่วยงานระดับปลัดกระทรวงที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ร่วมเป็นกรรมการด้วย ส่วนในภาคเอกชนประกอบด้วยประธานหอการค้าไทย-จีน ประธานสภาธุรกิจไทย-จีน นายกสมาพันธ์องค์กรนักบริหารไหหลำโลกรุ่นใหม่ นายไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และนายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวสัมพันธ์ไทย-จีน เป็นกรรมการ โดยมีอธิบดีกรมเอเชียตะวันออก กระทรวงการต่างประเทศ เป็นกรรมการและเลขานุการ และนายนิกรเดช พลางกูร กระทรวงการต่างประเทศ เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ 

     กำหนดให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่กำหนดยุทธศาสตร์ นโยบาย และแนวทางกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ กำหนดแผนงานและกลไกการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ประสานงานและบูรณาการเกี่ยวกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างไทย-จีน กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานเพื่อช่วยปฏิบัติงานได้ตาม ความจำเป็น โดยให้รายงานผลการดำเนินงานโดยตรงต่อนายกรัฐมนตรี 

     ก่อนหน้านี้รัฐบาลไทยและรัฐบาลจีนต่างได้ตั้งคณะกรรมการกระชับความสัมพันธ์ ทางเศรษฐกิจไทย-จีน โดยแต่ละฝ่ายมีรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจเป็นประธานกรรมการ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการกำหนดนโยบายและการประสานงานที่เป็นเอกภาพระหว่าง ไทย-จีน 

     คณะกรรมการทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในข้อตกลงเมื่อปี 2548 ว่าภายในปี 2553 จะเพิ่มยอดการค้าระหว่างกันเป็นปีละ 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จีนจะลงทุนในประเทศไทยเป็นมูลค่า 7,500 ล้านเหรียญสหรัฐ และจะเพิ่มนักท่องเที่ยวระหว่างกันเป็นปีละ 4 ล้านคน.

 

http://www.thaizhong.org/

ไม่มีความคิดเห็น: