วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

กูรูเศรษฐศาสตร์ อ้อนรัฐเก็บ ภาษีมรดก-ทรัพย์สิน

กูรูเศรษฐศาสตร์ อ้อนรัฐเก็บ ภาษีมรดก-ทรัพย์สิน

    จากปัญหาเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันที่อยู่ในภาวะถดถอย ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย จนหลายบริษัททยอยปิดตัว แรงงานเตะฝุ่นกว่าแสนคน ภาครัฐต้องออกมาตรการแจกเงิน 2 พันบาทจุนเจือประชาชน จนมีข่าวลือสะพัดว่า รัฐบาลถังแตก ในขณะที่เศรษฐีหลายคนยังล้มบนฟูก เหลือกินเหลือใช้ แนวคิดการจัดเก็บภาษีทรัพย์สิน และมรดกจึงผุดขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาให้กับสังคมในเวลานี้ที่นอนซมพิษเศรษฐกิจในปัจจุบัน

    ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวในงานสัมมนาวิชาการ เรื่อง " ภาษีมรดกและภาษีทรัพย์สินกับแนวทางการปฏิรูประบบภาษี" ว่า เป็นเรื่องจำเป็นต่อการขยายฐานภาษีของภาครัฐ เนื่องจากรัฐบาลได้จัดทำงบประมาณขาดดุลต่อเนื่องมาหลายปี และเศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงทรุดตัว ซึ่งตนเห็นว่า ควรมีการปฏิรูประบบภาษี เพื่อส่งเสริมธุรกิจของประเทศไทย สำหรับการลดภาษีนิติบุคคลถือเป็นมาตรการที่น่าสนใจแต่ไม่สามารถทำได้ ซึ่งตนเห็นว่าการจัดเก็บภาษีทรัพย์สินและภาษีมรดกเป็นการแก้ปัญหา ที่สามารถนำเงินมาอุดหนุนสวัสดิการของรัฐได้อีกช่องทางหนึ่ง หรือใช้ในนโยบายประชานิยมช่วยเหลือประชาชนได้ และมีมูลค่ามากพอที่จะปรับลดภาษีนิติบุคคลจาก 30 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 20 เปอร์เซ็นต์ได้ อีกทั้งควรกำหนดกฎเกณฑ์ใหม่ให้สถานที่ราชการต้องเสียภาษีด้วยเพื่อความเป็นธรรม

    คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวเสริมว่า สำหรับกฎหมายภาษีที่ดินตนมั่นใจว่าจะสามารถผ่านรัฐสภาได้ ซึ่งการปฏิรูปที่ดินและการปฏิรูปภาษีถือเป็นเรื่องสำคัญระดับประเทศ ซึ่งการเก็บภาษีที่ดินถือเป็นส่วนประกอบย่อยส่วนหนึ่งของการปฏิรูปที่ดิน ดังนั้นการปฏิรูปที่ดินจึงไม่ควรคิดในแง่กลไกภาษีเพียงอย่างเดียว แต่ควรคิดรวมถึงเพดานการถือครองที่ดินด้วย เพื่อเป็นการกระจายที่ดินอย่างเป็นธรรม ซึ่งตนเห็นว่าภาคสังคมต้องร่วมกันผลักดันกฎหมายภาษีมรดกและภาษีทรัพย์สินเพื่อสร้างประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ โดยไม่จำเป็นต้องรอรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว

    ศาสตราจารย์ ดร.เมธี ครองแก้ว คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยมีปัญหาการเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้อยู่ในอันดับที่ 100 ของโลก เพราะส่วนใหญ่ใช้ระบบเก็บภาษีทางอ้อม เช่น ภาษีสรรพสามิต ภาษีศุลกากร ซึ่งเป็นการผลักภาระให้กับผู้บริโภค สำหรับวิธีการแก้ปัญหาดังกล่าว คือ ต้องเก็บภาษีทางตรง เช่น ภาษีมรดกและภาษีทรัพย์สิน เพราะขณะนี้ไทยเป็นประเทศเดียวในเอเชียที่ไม่มีการเก็บภาษีดังกล่าว หากในอนาคตมีการใช้ระบบภาษีมรดกจริง รัฐต้องหามาตรการป้องกันการเลี่ยงภาษีอย่างเข้มงวด ส่วนการออกแบบอัตราการเก็บภาษีก็ต้องให้หลายฝ่ายช่วยกำหนด

    คณะกรรมการ ป.ป.ช.กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีภาษีทรัพย์สิน หากมีการตรวจสอบฐานรายได้จากประชากรไทยที่มีการยกเว้นภาษี จะพบว่ามีมูลค่าเยอะมาก ทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางฐานะขยายตัวสูงขึ้น ซึ่งตนเห็นว่า น่าจะมีการปฏิรูปอัตราภาษีเงินได้มาใช้ระบบคงที่ และเห็นว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบจะทำได้ง่ายกว่า แต่ทั้งนี้ต้องศึกษารายละเอียดข้อดี ข้อเสียเพื่อลดช่องโหว่ของกฎหมายในการหลบเลี่ยงภาษีก่อน โดยเฉพาะประเด็นการโอนมรดกข้ามรุ่น

    ศาสตราจารย์ ดร. ดิเรก ปัทมศิริวัฒน์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงกรณีการเก็บภาษีที่ดินและมรดกว่า เป็นวิธีที่ดีในการช่วยกระจายรายได้สู่สังคม ทั้งนี้ทรัพย์สินและที่ดินส่วนใหญ่ในประเทศไทยได้รับการยกเว้นภาษี ประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์ จึงทำให้ฐานภาษีแคบ ในขณะที่ภาษีบำรุงท้องที่ก็มีอัตราต่ำมากและเป็นอัตราถอยหลัง ซึ่งภาษีที่ดินทั่วไปจะมีอัตราเก็บอยู่ที่ 1-2 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าที่ดิน ซึ่งขณะนี้นักวิชาการ และนักเศรษฐศาสตร์ เห็นว่าเป็นโอกาสดีที่รัฐบาลจะการนำ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ดังกล่าวเข้าพิจารณาอีกครั้ง

    ศาสตราจารย์ ดร.ดิเรก ชี้แจงเพิ่มเติมว่า สำหรับอัตราภาษีทรัพย์สินและมรดกที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 0.1-0.5 เปอร์เซ็นต์ และควรเป็นอัตราก้าวหน้าจนถึง 1 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังมีแนวคิดที่เสนอให้เก็บภาษีกับภาครัฐด้วย ทั้งนี้ตนคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยให้ฐานภาษีเพิ่มขึ้น 3-4 เท่า หรือประมาณ 80,000-100,000 ล้านบาท นอกจากนี้จะช่วยให้รายรับขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพิ่มขึ้นด้วย

    "แนวคิดการเก็บภาษีมรดกของญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างที่ดี เพราะมีการประสานกับหลายหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมที่ดิน หรือตลาดหลักทรัพย์ในการตรวจสอบ อีกทั้งยังมีการตรวจสอบทรัพย์สินของผู้ตายย้อนหลัง 3 ปี เพื่อป้องกันการเลี่ยงภาษีมรดก สำหรับอัตราภาษีมรดกของญี่ปุ่นอยู่ที่ 10 -70 เปอร์เซ็นต์ ส่วนประเทศไทยควรจัดเก็บประมาณร้อยละ 10 - 40 จึงจะเหมาะสม และอาจมีข้อยกเว้นสำหรับทรัพย์สินที่มีมูลค่าไม่ถึง 5 ล้านบาท ซึ่งรายได้จากการเก็บภาษีทรัพย์สินและมรดกจะถูกกระจายให้กับคนจน และช่วยเพิ่มรายได้ให้กับภาครัฐ" อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าว

   ด้านนาย อิสระ บุญยัง อุปนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า การจัดเก็บภาษีทรัพย์สิน ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ควรคิดจากฐานภาษีจากราคาประเมินที่ดิน ซึ่งหากมีสิ่งปลูกสร้างก็ควรคิดราคารวมกัน โดยอ้างอิงราคาประเมินจากสำนักประเมินราคาทรัพย์สิน ข่าวที่ผ่านมาเคยนำเสนอว่ารัฐบาลจะจัดเก็บมีอัตราภาษีดังกล่าวไม่เกิน 0.5 เปอร์เซ็นต์ โดยที่อยู่อาศัยมีอัตราจัดเก็บไม่เกิน 0.1 เปอร์เซ็นต์ สำหรับที่ดินเพื่อการเกษตรมีอัตราจัดเก็บไม่เกิน 0.05 เปอร์เซ็นต์ ส่วนพื้นที่รกร้างจะมีอัตราจัดเก็บเพิ่มเป็น 2 เท่าของทุก 3 ปี แต่ไม่เกิน 2 เปอร์เซ็นต์ ส่วนการลดหย่อนภาษีควรให้องค์กรท้องถิ่นเป็นผู้ดูแล

    นายอิสระ กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดิน มีข้อดีหลายข้อ คือ 1.ช่วยลดการพึ่งพางบประมาณจากส่วนกลาง 2.ท้องถิ่นมีรายได้ที่แน่นอน 3.ก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้ที่ดิน 4.เป็นช่องทางตรวจสอบการทำงานของฝ่ายการเมือง ส่วนข้อเสีย คือ 1.ไม่มีข้อยกเว้นกับเจ้าของที่ดินที่มีฐานะยากจน 2.เป็นการซ้ำเติมภาคธุรกิจ หรือโรงงานที่กำลังประสบปัญหา อย่างไรก็ตามตนมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ ร่าง พ.ร.บ.ภาษีทรัพย์สิน ดังนี้1. ควรจัดเก็บภาษีแบบค่อยเป็นค่อยไปแบบขั้นบันไดในแต่ละปีจนกว่าจะเสียภาษีเต็มจำนวน 2.ให้อำนาจท้องถิ่นยกเว้นการจัดเก็บภาษีที่มีมูลค่าน้อย และสามารถกำหนดอัตราภาษี เพื่อช่วยชะลอหรือเร่งการเติบโตของท้องถิ่น 3.รัฐควรมีงบประมาณทดแทนในเขตพื้นที่อนุรักษ์สภาพแวดล้อมเพื่อทดแทนรายได้จากภาษีทรัพย์สิน 4.ควรลดหย่อนภาษีให้กับบ้านจัดสรรที่มีนิติบุคคล เนื่องจากต้องเสียเงินบำรุงท้องถิ่นเป็นประจำทุกเดือน 5.ควรลดหย่อนภาษี สำหรับที่ดินที่ใช้เพื่อสาธารณะประโยชน์ 6.ควรทบทวนค่าธรรมเนียมและค่าภาษีอื่นๆ ในการซื้อขายที่ดิน 7.ทบทวนข้อยกเว้นภาษีสำหรับที่พักอาศัยหรือ อาคารพาณิชสำหรับผู้มีรายได้ต่ำ และพื้นที่เกษตรกรรม

    สำหรับประเด็นเรื่องภาษีมรดก อุปนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า โดยส่วนตัวคิดว่ามีข้อดีมากกว่าข้อเสีย เมื่อหลายปีก่อนในสหรัฐอเมริกามีการพูดคุยถึงเรื่องการยกเลิกภาษีมรดก แต่จอร์จ โซรอส มหาเศรษฐีนักลงทุนได้คัดค้านไว้ โดยให้เหตุผลว่าไม่ต้องการเห็นแรงกดดันของคนที่มีรายได้น้อยหรือปานกลาง และไม่ต้องการให้เห็นว่าคนกลุ่มเล็กเอาเปรียบสังคมอยู่ และในสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรก็ไม่มีใครคัดค้านเรื่องภาษีมรดกทั้งที่แต่ละคนก็มีทรัพย์สินเยอะ

    "แต่ละประเทศมีการเก็บภาษีมรดกแตกต่างกัน เช่น เก็บภาษีก่อนแบ่งมรดกผู้ตาย ข้อดีคือ รัฐเสียค่าใช้จ่ายในการเก็บน้อยและมีรายได้เพิ่มขึ้นจากฐานภาษีที่สูงขึ้นตามมูลค่ากองมรดก แต่ข้อเสียคือ หากมรดกมีมูลค่าน้อย ทายาทที่มีฐานะยากจนอาจต่อต้านการเก็บภาษี เพราะเงินจะถูกเรียกเก็บก่อนรับมรดก ส่วนการเก็บภาษีหลังจากการแบ่งมรดกให้ทายาทนั้นจะทำให้รัฐเก็บภาษีได้น้อย เพราะมรดกมีฐานภาษีลดลง ซึ่งวิธีนี้ทายาทจะต่อต้านน้อย ทั้งนี้ ตนคิดว่าหลายฝ่ายควรศึกษาแนวทางการบังคับกฎหมายดังกล่าวจากต่างประเทศ เพื่อนำมาพัฒนาและปรับปรุงให้เหมาะกับประเทศไทย" อุปนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าว

 
http://www.rsunews.net/Ask%20Experts/Property-Tax/AskExpert-ProtertyTax.htm


Hotmail® goes with you. Get it on your BlackBerry or iPhone.

ไม่มีความคิดเห็น: