วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2552

จากปากก็ถึงท้อง

Pic_14205 
ชีวจิต

เพิ่งจะมาได้ความคิดใหม่ๆเกี่ยวกับเรื่องปัญหาสุขภาพเมื่อ 2-3 วันมานี้เองครับ

ความคิดนั้นเกี่ยวกับวิธีเขียนอธิบายเรื่องการเจ็บป่วย ซึ่งก็ต้องพูดถึงต้นเหตุของการเจ็บป่วยก่อนแล้วก็พูดถึงวิธีป้องกันและวิธีแก้ไข ผสมกับการแนะนำเรื่องการปฏิบัติตัวที่จะช่วยให้บางครั้งไม่ต้องใช้ยาเลยก็ยังแก้ได้

แต่ก็จะประสบกับปัญหาตอนอธิบายเรื่องเกี่ยวกับวิชาการ และในหลายๆกรณีจำเป็นต้องใช้ศัพท์ทางวิชาการเป็นภาษาต่างประเทศ

บางครั้งแบบนี้แหละครับ มักจะโดนคุณๆแฟนประจำต่อว่าเอา ว่าให้ใช้ภาษาไทยแทนไม่ได้ หรืออย่างไร และเรื่องวิชาการจริงๆนั้น เอาเบาๆหรือไม่เอาเลยก็ยังได้ คุยกันแบบสบายๆเป็นกันเองอย่างเก่านั้นดีกว่าและสนุกกว่า

ผมก็เลยได้ความคิดปิ๊งขึ้นมาตอนนี้เลย ต่อไปจะพยายามทำอย่างนี้ครับ

1. จะพยายามใช้ภาษาต่างประเทศให้น้อยที่สุด และถ้าต้องเขียนเมื่อไหร่ ก็จะมีคำอ่านภาษา ไทยและคำอธิบายสั้นๆภาษาไทยประกอบไว้ด้วย

2. จะพยายามเขียนแบบเบาๆ แบบจับเข่าคุยกัน กินกันไป ดื่มกันไป (เอ๊ะ ไม่ได้ซิเนาะ ชีวจิตไม่สนับสนุนให้กินเหล้า แต่ว่ากินพอเป็นยา ไวน์แดงสักแก้วพอเจริญอาหาร น่าจะแกล้งหลับตาสักข้างมองไม่เห็นเสียคงได้นะ คุณ "เขียน" น่ะ)

ตอนนี้จะเริ่มแบบคุยกัน เป็นเรื่องชนิดที่ต่อเป็นชุดๆเลยนะครับ

สองครั้งที่แล้วเป็นชุดเรื่องปาก คือคุยเรื่องปากเปื่อยชนิดไม่ร้ายแรง และปากเปื่อยชนิดร้ายแรงเพื่อเปรียบเทียบกัน

จากเรื่องปากก็น่าจะมาถึงเรื่องท้อง ขอเล่าเรื่องแพทย์เก่าแก่คนหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นปรมาจารย์ ในเรื่องโรคเกี่ยวกับท้อง

แพทย์เก่าแก่ท่านนี้เป็นชาวเดนมาร์ก เกิดที่เมืองโคเปนเฮเกน เมื่อปี ค.ศ. 1830 ชื่อ HARALD HIRSCHSPRUNG (ฮาราล์ด เฮิชสปรุงก์)

คุณหมอเฮิชสปรุงก์ชื่อยากคนนี้ สนใจในเรื่องแพทย์มาตั้งแต่เล็กๆ พออายุได้เพียง 18 ปี ก็สามารถสอบผ่านเข้ามหาวิทยาลัยโดยได้คะแนนสูงสุดทุกวิชา นอกจากวิชาประวัติศาสตร์ (นี่แหละครับ ไม่ทราบว่าเป็นอะไร พวกที่เก่งทางวิทยาศาสตร์ มักจะสอบตกวิชาประวัติศาสตร์)

จบเรียนแพทย์แล้วก็ไปเป็นแพทย์ฝึกหัดอยู่ที่สถาบันการแพทย์สแตทเซกซาเมิน ที่โคเปนเฮเกน และระหว่างที่เป็นแพทย์ฝึกหัดนี้เอง ได้ เรียบเรียงตำราเกี่ยวกับโรคช่องท้องและลำไส้ออกมาหลายเล่ม

ที่น่าสนใจก็คือ เป็นหมอหนุ่มๆ แต่ก็มีใจจดจ่อกับโรคต่างๆของช่องท้อง และก็เลยกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านหลอดอาหาร (OESOPHAGUS) และลำไส้เล็กไปในที่สุด

ต่อมาก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นแพทย์เด็กหรือกุมารแพทย์ คนแรกของเดนมาร์ก และได้เป็นหัวหน้ากุมารแพทย์ของโรงพยาบาลควีน หลุยซา ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเด็กในที่สุด

เฮิชสปรุงก์เป็นคนรักเด็ก ขณะที่เขาได้รับ ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลนั้น เด็กๆที่เป็นลูกของคนยากจน เมื่อเข้ามารับการรักษานั้น คุณหมอจะขอร้องแกมบังคับทางโรงพยาบาลว่าต้องให้การรักษาฟรีแก่เด็กเหล่านี้

ส่วนเด็กๆที่เป็นลูกคนรวยๆนั้น คุณหมอท่านว่าต้องเก็บค่ารักษาให้หนักๆเลยทีเดียว คุณหมอท่านก็เลยกลายเป็นหมอที่มีคนรักและมีคนเกลียดไปพร้อมๆกัน

ความชำนาญอีกอย่างหนึ่ง ท่านได้ค้นพบโรคซึ่งเกิดจากความพิการของอวัยวะในช่องท้อง ความพิการนี้ทำให้เกิดโรคอุดตันของส่วนต่างๆหลายส่วนในร่างกาย (ATRESIA) เช่น ทำให้ลำไส้ อุดตัน รูทวารหนักอุดตัน แม้แต่การอุดตันชนิดอื่นๆ เช่น รูหูอุดตัน อวัยวะเพศหญิงอุดตัน เหล่านี้ก็เรียกว่าโรค ATRESIA ได้เช่นกัน

ต่อจากนั้นก็มาถึงโรคเกี่ยวแก่ช่องท้องอีกโรคหนึ่งซึ่งทำให้ชื่อของคุณหมอเฮิชสปรุงก์ดังมาจนกระทั่งบัดนี้ อาการของโรคนี้ไม่มี ใครรู้จักมาก่อน คุณหมอท่านได้ค้นพบเป็นคนแรก โรคที่เกิดขึ้นส่วนมากมักจะเกิดกับผู้ป่วยในวัยเด็ก

อาการที่เห็นชัดในระยะแรกคือ การปวดท้องอย่างแรง ท้องจะบวมโต และในขณะเดียวกันก็จะมีอาการท้องผูกอย่างรุนแรงด้วย ถ้าพอจะถ่ายได้ ก็มักจะถ่ายออกมาเป็นเส้นแบนๆ และหลังจากนั้นก็จะไม่ถ่ายเลย

ในสมัยนั้นการใช้เอกซเรย์ยังนำมาใช้ในวงการแพทย์ไม่ได้ กว่าที่คุณเฮิชสปรุงก์จะค้นพบอาการของโรคได้อย่างแน่นอน ก็จะเป็นตอนที่คนไข้เสียชีวิตไปแล้ว

โดยเหตุที่คุณหมอเป็นหมอเด็กและกุมารเวช ซึ่งได้พบว่าเด็กที่เป็นโรคนี้มักจะเกิดจากความพิการมาแต่กำเนิด

การที่คนเราจะถ่ายอุจจาระได้นั้นต้องอาศัยกลไกความเคลื่อนไหวและการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ ประกอบกับการทำงานร่วมกันของระบบประสาท

ระบบประสาทจะบังคับให้ส่วนต้นๆของลำไส้ ใหญ่บีบตัวและบิดเบี้ยวเพื่อช่วยให้การเคลื่อนไหวของของเสียในลำไส้ใหญ่เคลื่อนไหวไปได้เรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงตอนปลายของลำไส้ใหญ่ (ANUS) แล้วจึงจะถ่ายออกมาเป็นอุจจาระได้

แต่จะเกิดจากความผิดพลาดประการใดก็ยังไม่แน่ ระบบประสาทหรือปุ่มประสาทที่จะยังบังคับให้ลำไส้ใหญ่บิดเบี้ยวหรือบีบรัดนี้ไม่ทำงาน ลำไส้จึงไม่มีการเคลื่อนไหว และอุจจาระก็จะผ่านส่วนที่ลำไส้ไม่ทำงานไม่ได้ จึงเกิดการท้องผูกหรืออุดตันอย่างรุนแรงจนคนไข้เสียชีวิต

คุณหมอเฮิชสปรุงก์ได้พบคนไข้ซึ่งเป็นคนไข้เด็กของท่าน และช่วยชีวิตเด็กไม่ได้ แต่ก็ได้ ศึกษาเรื่องระบบลำไส้ใหญ่ไม่ทำงานร่วมกับระบบประสาทซึ่งไม่ทำงานได้อย่างละเอียด

คุณหมอได้ทำรายงานและสั่งสอนแพทย์ รุ่นหลังๆตลอดมา และได้เรียกชื่อโรคนี้ว่า HIRSCHSPRUNG'S DISEASE (อ่านยากครับ ถ้าจะออกเสียงให้ถูกต้องออกเสียงแปลกๆว่า "เฮิชสปรุงก์ซ์-ง่า ดีซีส" จริงๆนะครับที่ต้องมีเสียงว่า "ง่า" ด้วยนี้ เพราะคุณต้องออกเสียงยาวๆ อ้าปากแล้วก็หุบปากทันที จึงจะมีเสียง "ง่า" ออกมาได้)

สมัยก่อนนั้นรักษาไม่ได้ แต่สมัยนี้รักษาได้แล้วครับ ต้องใช้เอกซเรย์เข้าช่วย เมื่อพบส่วนพิการของลำไส้แล้ว ก็ผ่าตัดเอาส่วนพิการออก แล้วต่อลำไส้ส่วนดีเข้าด้วยกันก็เป็นอันจบพิธี บางรายส่วนพิการยาวไป ตัดออกแล้วต่อไม่ได้ก็ต้องเจาะหน้าท้องให้ถ่ายออกหน้าท้อง (COLOSTOMY)

นี่เป็นแต่เล่าเรื่องแบบคำนำครับ เพื่อที่จะได้ต่อตอนต่อไปเกี่ยวแก่ท้อง (ชนิดไม่หวาดเสียว คราวหน้า)

คอร์สทายาทยังเปิดอยู่อีกครับ

คอร์สทายาทครั้งต่อไปจะเปิดสอน "ภูมิชีวิตกับความชรา" จะพูดถึงต้นเหตุของความชรา (แก่) การป้องกันไม่ให้กลายเป็นคนชราที่ไร้ค่า การรักษาความเป็นหนุ่มสาวที่คงทนยาวนาน และการตายอย่างสงบและมีศักดิ์ศรี บรรยายวันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม

จะเปิดโอกาสให้ท่านที่สนใจซึ่งไม่ใช่ สมาชิกทายาทชีวจิตเข้าร่วมฟังบรรยายได้ กรุณาติดต่อโทรศัพท์ 08-1641-8883 (คุณรุ่ง) 0-2422-9111 ต่อ 2101-2108 (คุณอาภา) และ 0-2570-8220.

http://www.thairath.co.th/content/life/14205

ไม่มีความคิดเห็น: