วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552

คุณนายเอส'จอมเซ็งลี้ (2)

วันที่ 9 มิถุนายน 2552 เวลา 08:51 น.
 
'คุณนายเอส'จอมเซ็งลี้ (2)

มาว่ากันต่อถึงพฤติกรรมของ “คุณนายเอส” ที่ได้ฉายาจากเพื่อนร่วมงานว่าเป็นประเภท “จอมเซ็งลี้” แต่ของที่ชอบขายไม่ใช่เป็นของเก่าเก็บ แต่ดันชอบขายเก้าอี้หรือตำแหน่งสำคัญ ๆ ให้กับลูกน้องหรือเพื่อนร่วมงานกับสามีสุดที่รัก ยิ่งปีนี้ตั้งเป้าหวัง หาเงินให้ได้ครบ 200 ล้านบาท เนื่องจากจะเก็บไว้ทำทุนในช่วงบั้นปลายของชีวิต
 
หรืออาจตัดสินใจ ก้าวเข้าสู่เส้นทางการเมือง เพราะกลัวว่าภายหลังพ้นจากเก้าอี้ใหญ่ที่ตนเองนั่งอยู่ เผลอ ๆ จะถูกลูกน้องไล่เช็กบิล สาเหตุมาจากช่วงมีอำนาจใช้หลักการ แต่งตั้งโยกย้ายโดยไม่ได้ยึดถือคุณธรรม ใครถนัดชเลียร์จะได้ดิบได้ดีมีตำแหน่งสำคัญ ส่วนคนตั้งใจทำงานกลับไม่มีโอกาสเติบโต จึงทำให้บรรดาเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับผลกรรมจากการกระทำประเภทนี้ ชั่งใจอยู่ว่าถ้าหากสามีคุณนายเอสต้องหลุดจากวงโคจรอำนาจ จะยื่นเรื่องให้องค์กรไหนตรวจสอบ เพื่อผดุงความยุติธรรม ให้เกิดขึ้นกับองค์กรตนเอง
 
แต่ผมภาวนาขอ “ผู้นำบางองค์กร” ที่ชอบไฟเขียวหาทุน (แบบผิดกฎหมาย) เก็บไว้ใช้ในยามไร้อำนาจ อย่าเสียสละเดินทางเข้ามาในเส้นทางการเมืองเลยครับ ขนาด แต่งตั้งโยกย้ายยังเรียกสูงถึง 8 หลัก สวมวิญญาณน้องผู้หิวโหย ถ้าหากเข้ามามีตำแหน่งในฝ่ายบริหาร ได้รับมอบหมายให้ดูแลโครงการใหญ่มูลค่าเป็นพันเป็นหมื่นล้าน แค่งาบซักสิบเปอร์เซ็นต์ ก็ฟาดเงินไปไม่รู้เท่าไหร่แล้วล่ะครับ
 
เอาเป็นว่า เงิน 200 ล้านบาท ถือว่าเป็น “ขวัญถุง” ก้อนสุดท้าย ก่อนจะพ้นจากเก้าอี้ใหญ่ อย่าเข้ามาทำให้การเมืองต้องแปดเปื้อนด้วยเรื่องหาเศษหาเลยจากเงินงบประมาณ ซึ่งเป็นภาษีของชาวบ้านเลยครับ
 
อ่านจดหมายของ “กลุ่มหลังบ้าน” ที่เข้ามาช่วยสมาคมฯ บางแห่ง ทำให้ผมอดเป็นห่วง “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”    ไม่ได้ เพราะนับจากนั้นต่อไปจะต้องมีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการหลายหน่วยงาน ถ้าหากรัฐบาลยังสามารถประคับประคองสถานการณ์ ไปได้จนถึงเดือน ต.ค. ยิ่งการปรับโครงสร้างของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) จะมีการโยกย้ายข้าราชการหลายร้อยตำแหน่ง แม้ว่าจะเป็นอำนาจของผู้บริหารระดับสูงของ สตช. ก็ตาม แต่ในฐานะผู้นำรัฐบาลก็คงต้องลงไปดูแล้วครับว่า การแต่งตั้งโยกย้ายใช้มาตรฐานอะไร
 
ถ้าหากคนตั้งใจทำงานหรือไม่มีเส้นสายหมดโอกาสเติบใหญ่ในหน้าที่การงาน คงจะส่งผลกระทบกับประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่าลืมว่าตำรวจเปรียบเสมือนเป็น ต้นทางของกระบวนการยุติธรรม นะครับ ถ้าหากได้คนไร้ฝีมือหรือไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน ถนัดแต่วิ่งเต้น รัฐบาลก็ต้องตกเป็นจำเลยของสังคมไปโดยปริยาย
 
ก็คิดดูซิครับ พอบางคนเห็นว่ากำลังมีปัญหาความขัดแย้งในรัฐบาล นายกฯ สงสัยอยู่ได้ไม่นานเริ่มมีปล่อยข่าวว่ากันว่า จะมีการ ล็อกตำแหน่ง ผบ.ตร. ให้กับใครบางคน เรียกว่าผู้นำฝ่ายบริหาร กลายเป็นเสือกระดาษ มีแต่ตำแหน่งไม่มีอำนาจ
 
เอาล่ะครับ ถ้าหากในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา นายกฯอภิสิทธิ์ ยังหาผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน มาโชว์ในช่วงแถลงผลงานครบรอบครึ่งปีของรัฐบาลไม่ได้ ก็ลองหาแนวทางป้องกัน ไม่ให้มีการซื้อขายเก้าอี้ ในระบบราชการ และประกาศให้เป็นสัญญาประชาคม ผมว่าถ้าหากทำได้รับรองว่า บ้านเมืองเราไปรอดแน่ ๆ และต้องหามาตรการป้องกันไม่ให้ผู้บังคับบัญชาที่มีพฤติกรรมเหมือนกับ คุณนายเอสและสามี เข้ามาครอบงำระบบราชการของบ้านเรา
 
แม้กระทั่งการพิจารณาเรื่องร้องเรียนต่าง ๆ ผมจำได้เมื่อไม่นานมานี้ “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส” อดีต ผบ.ตร. ได้ยื่นหนังสือถึงนายกฯ ถึงการพิจารณาผลการสอบสวนของข้าราชการระดับสูงบางคนถ้าหากไม่ตรวจสอบให้ดี ระวังจะถูกครหาว่า ละเว้นในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายอาญา มาตรา 157 นะครับ.

'เขื่อนขันธ์'

ไม่มีความคิดเห็น: