วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ลอดช่องกะทิปั่นทรงเครื่อง เจ้าแรกในไทยรสชาติใหม่ผู้บริโภค

ลอดช่องกะทิปั่นทรงเครื่อง เจ้าแรกในไทยรสชาติใหม่ผู้บริโภค
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 พฤษภาคม 2552 09:02 น.
พรรณสวลี อภิวาณิชย์ หรือ เชอรี่ เจ้าของธุรกิจลอดช่องกะทิปั่นทรงเครื่อง
       จากขนมธรรมดา อย่างลอดช่องกะทิสด ที่หลายคนคุ้นเคย ทั้งในเรื่องของรูปลักษณ์และรสชาติ จนไม่มีใครคิดที่จะเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อคนรุ่นใหม่วัย 28 ปี คิดนำสูตรแป้งลอดช่องมาต่อยอด ซึ่งเป็นสูตรดั้งเดิมของบรรพบุรุษ ดังนั้นเพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้กับขนมชนิดนี้ จึงพยายามปรับเปลี่ยนรูปแบบ แต่ยังคงความเป็นลอดช่องกะทิสดอยู่ สุดท้ายจึงมาลงตัวที่ “ลอดช่องกะทิปั่นทรงเครื่อง” กับชื่อร้าน “หัวกะทิ”

ลวกเส้นลอดช่องไปขายไป
       ความแปลกใหม่ และความเหนียวนุ่มของเส้นลอดช่องที่ลวกสด แบบลวกไปขายไป จากแนวคิดของ “พรรณสวลี อภิวาณิชย์” หรือ เชอรี่ ที่เริ่มจากการที่ชอบรับประทานขนมลอดช่อง สูตรของอากง (ปู่) มาตั้งแต่เด็ก ที่เคยทำขนมลอดช่องขายมาก่อน โดยเป็นเส้นสีเขียวใสๆ จากแป้งที่นวดจนได้ที่ ซึ่งรูปลักษณ์ก็คล้ายคลึงกับผู้ประกอบการในปัจจุบันทั่วไป ดังนั้นเมื่อตนคิดจะนำมาต่อยอด จึงพยายามสร้างความแตกต่าง ด้วยการปรับสูตรแป้งลอดช่องเล็กน้อย เพื่อให้ตรงกับความต้องการของคนในยุคนี้ เน้นเพิ่มความเหนียวนุ่มให้กับตัวแป้ง ซึ่งเมื่อนำไปต้มจะได้สีเขียวใสเหมือนหยก ในขณะที่น้ำกะทิ ก็ปรับเปลี่ยนจากรูปแบบเดิมๆ ที่เป็นน้ำกะทิสดธรรมดา ด้วยการนำมาปั่นสดก่อนเสิร์ฟให้ลูกค้าทุกแก้ว ซึ่งรูปลักษณ์ที่ออกมาคล้ายไอศกรีม โรยหน้าด้วยข้าวโพด ถั่วลิสง และล่าสุดเป็นมะพร้าวซอยบางๆ แล้วนำไปคั่วเพิ่มความหอม โดยขายในราคาแก้วละ 15-18 บาท ส่วนราคาในห้างสรรพสินค้าจะอยู่ที่แก้วละ 25 บาท
       


เมื่อลวกเสร็จก็นำไปแช่ในน้ำเย็น
       “ลอดช่องกะทิปั่นทรงเครื่อง สูตรของเราได้เปิดขายมาได้ประมาณ 2 ปี ซึ่งถือเป็นสูตรและรูปลักษณ์ที่แปลกใหม่ในไทย ทำให้มีลูกค้าทุกเพศทุกวัยที่ชื่นชอบทำให้ขณะนี้เราขายธุรกิจไปแล้วประมาณ 9 สาขา ได้แก่ สาขา ท่าน้ำคลองสาน, สาขาจรัญ 37 (ข้าง Makro จรัญ), สาขาแยกสุทธิสาร, สาขาราม 29, สาขาหลังราม 24, สาขาจรัญ 13 (วัดชัยฉิมพลี), สาขา Tops Central World, สาขา Tops เซ็นทรัลบางนา และสาขา Tops เซ็นทรัลพระราม 3

ทิ้งไว้สักครู่ก็จะได้เส้นลอดช่องเหนียวนุ่ม สีเขียวใสเหมือนหยก
       เมื่อจำนวนสาขาที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ต้องเพิ่มกำลังการผลิต จากเดิมที่ผลิตเส้นลอดช่องกันแบบครอบครัว แต่เมื่อสาขาเพิ่มขึ้น ทำให้ต้องสร้างโรงงานขนาดเล็กพร้อมเครื่องจักร รองรับการผลิตเส้นลอดช่องแบบดิบ เพื่อนำส่งตามสาขาต่างๆ ทำให้ขณะนี้สามารถรองรับกำลังการผลิตได้ประมาณ 4,000 แก้ว/วัน

ขั้นต่อมาก็นำกะทิมาปั่น สร้างความแตกต่าง
       เสน่ห์ของลอดช่องกะทิปั่นทรงเครื่องของร้านหัวกะทิ ถือว่าอยู่ที่ความสดใหม่และความหอมของกะทิสด ที่เสิร์ฟให้กับลูกค้า เพราะเส้นของลอดช่องจะลวกครั้งละไม่มาก และจะไม่ทิ้งเส้นของลอดช่องนานเกิน 3 ชั่วโมง เพราะเส้นจะลดความเหนียวนุ่มลงไป จากการที่เส้นดูดซับน้ำไว้มากเกินไป ส่วนเครื่องโรยหน้าที่ใส่ลงไปในขนมลอดช่องกะทิปั่นสดทรางเครื่องนั้น จะไม่ทิ้งค้างคืน เช่น ข้าวโพด ถั่วลิสง และมะพร้าวคั่ว ซึ่งเมื่อขายไม่หมดก็จะทิ้งทันที เพื่อทำให้ลอดช่องกะทิปั่นทรงเครื่องไม่เสียรสชาติ ซึ่งความพิถีพิถันใส่ใจในทุกรายละเอียดของวัตถุดิบ ทำให้แนวความคิดที่ตนเองตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกที่จะขยายธุรกิจในรูปแบบของแฟรน ไชส์ เป็นอันต้องล้มเลิกไป หลังจากที่ได้ทดลองเปิดขายเองสาขาแรก ก็ต้องพบเจอกับปัญหา และกำไรที่ได้รับไม่มากมายนัก ซึ่งจะไม่เพียงพอต่อการจัดสรรแบ่งให้กับบริษัทแม่ ดังนั้นการขยายสาขาเองจึงน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด

นำมาใส่เครื่องโรยหน้าได้ตามความต้องการของลูกค้า
       “การทำให้ ลอดช่องกะทิปั่นทรงเครื่อง กลายเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ถือเป็นความคิดแรกที่เราเริ่มทำธุรกิจนี้ แต่เมื่อได้ลงมือทำจริงแล้ว ทำให้เรารู้ว่าธุรกิจนี้ค่อนข้างควบคุมคุณภาพได้ยาก และหากไม่ได้ทำเองก็อาจทำให้แบรนด์เสียหายได้ เพราะเราเน้นการใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพสูง ทำให้ต้นทุนก็ย่อมสูงตามไปด้วย ดังนั้นหากทำเป็นแฟรนไชส์ การที่ต้องทิ้งวัตถุดิบทั้งหมด ไม่ให้ค้างคืน จะทำให้กำไรของแฟรนไชซีลดลง และไม่คุ้มค่ากับการลงทุน”

หน้าตาน่ารับประทาน เหมาะกับการคลายร้อน
       นอกจากร้านหัวกะทิจะมีขายใน 9 สาขาที่กล่าวมาแล้ว ทางร้านหัวกะทิ ยังรับจัดเลี้ยงนอกสถานที่ด้วย โดยกำหนดขั้นต่ำอยู่ที่ 200 แก้วขึ้นไป โดย มีสัดส่วนการจัดเลี้ยงประมาณ 20% ซึ่งที่ผ่านมามีการจัดเลี้ยงทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เช่น พัทยา ที่สั่งไปจัดเลี้ยงตามงานเปิดตัวบริษัท, งานอีเว้นต์ต่างๆ หรือแม้กระทั่งงานแต่งงาน

       

       

ลูกค้าทุกเพศทุกวัยให้การอุดหนุน
       ***สนใจติดต่อได้ที่ 086-789-1237***

http://www.manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9520000056605

ไม่มีความคิดเห็น: