เด็กน้อย ซุนกวน
ในบรรดาผู้นำก๊กทั้งสามก๊ก โจโฉ เล่าปี่ ซุนกวน นั้นนับว่า ซุนกวน อายุน้อยที่สุด จึงมักจะถูกดูแคลนจากบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหลาย โดยเฉพาะ โจโฉ กวนอู เตียวหุย ถึงกลับปรามาทว่าเป็น เด็กอมมือเมื่อวานซืน คงมีแต่ จูกัดเหลียง-ขงเบ้ง เท่านั้นที่นอกจากจะไม่สบประมาทแล้วยังยกระดับให้ กวนอู เป็นผู้นำก๊กที่สามเพื่อให้เป็นก๊กถ่วงดุลกับ วุ่ยก๊ก ของ โจโฉ
คำว่า"สามก๊ก"จึงป็นผลมาจากการดำเนินยุทธศาสตร์ "เหนือรบโจโฉ ใต้จับมือซุนกวน"ของ จูกัดเหลียง-ขงเบ้ง เพราะถ้าไม่มี ง่อก๊ก ของ ซุนกวน จ๊กก๊ก ของ เล่าปี ก็ย่อมไม่ได้เกิด ทุกแคว้นจะอยู่ในการครอบครองของ โจโฉ แห่ง วุ่ยก๊ก เพียงคนเดียว
ในขณะที่ โจโฉ นั้นเป็นลูกขุนนางเก่าแก่และถูกชุบเลี้ยงให้เติบโตขึ้นขึ้นมาในเมืองหลวงอันเป็นศูนย์กลางอำนาจ ชีวิตตั้งแต่เล็กจนโตจึงสัมผัสเรียนรู้อยู่กับการเมือง การปกครอง และการทหาร จึงเชี่ยวชาญในชั้นเชิงการเมืองและช่ำชองการรบในระดับแถวหน้า ประกอบกับเป็นคนที่มีปณิธานแน่วแน่มักใหญ่ใฝ่สูง
โจโฉ จึงประสบความสำเร็จขึ้นมาเป็นผู้นำวุ่ยก๊ก ควบคุมบทบาทการบริหารราชการแผ่นดินในเมืองหลวงได้ก่อนใครเพื่อน จนบางครั้งจึงทำให้ดูว่าเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง หยิ่งลำพอง และโหดเหี้ยม และก็เป็นจุดอ่อนที่ทำให้บรรดาเจ้าเมืองต่างๆ ยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างในการแข็งข้อ และกล่าวหาว่าพฤติกรรมของเขาเป็นการล่วงเกินพระราชอำนาจ หมิ่นพระบรมราชานุภาพ และข่มเหงรังแกฮ่องเต้ จนทำให้แผ่นดินจีนแตกออกเป็นเสี่ยงๆก่อนที่ยุทธศาสตร์สามก๊กจะถูกกำหนดขึ้นในเวลาต่อมา
เล่าปี่ แม้จะเป็นเชื้อพระวงศ์และร่ำเรียนการยุทธพอสมควร แต่ก็เป็นเชื้อพระวงศ์ปลายแถวผู้อาภัพ ก่อนที่จะมาสมัครเป็นทหารอาสาปราบโจรโพกผ้าเหลืองก็เป็นเพียงคนทอเสื่อร่อนเร่ขายไปตามเมืองต่างๆ จนได้พบกับ เตียวหุย พ่อค้าขายเนื้อหมูที่มีฐานะระดับคหบดีของเมืองตุ้นก้วนเป็นคนออกทุนตั้งกองกำลังทหารอาสา โดยมี กวนอู ผู้มีรูปร่างสูงใหญ่และมีวิทยายุทธยอดเยี่ยมเข้าเป็นพี่น้องร่วมสาบานใต้ต้นท้ออันลือลั่น
ถึงกระนั้น เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ที่เข้าร่วมเป็นกองกำลังทหารอาสาปราบโจรโพกผ้าเหลืองได้สำเร็จและเข้ารับราชการเป็นเจ้าเมืองเล็กๆ แต่ก็ไม่อาจอยู่ในระบบขุนนางยุคนั้นได้ เพราะไม่มีเส้นสายและเหลี่ยมคูการเมืองเพียงพอที่จะไต่เต้าในเวลารวดเร็วได้ สุดท้ายก่อนที่จะมาพบกับ จูกัดเหลียง-ขงเบ้ง ซึ่งเป็นผู้กำหนดยุทธศาสตร์สามก๊กให้นั้น ก็ยังเป็นเพียงกองกำลังทหารเล็กๆ ที่ระเหเร่ร่อนครั้งแล้วครั้งเล่าเท่านั้นเอง
แต่สำหรับ ชุนกวน นั้นขึ้นมาเป็นผู้นำด้วยเพราะสถานการณ์บังคับ เพราะ ซุนเกี๋ยน เจ้าเมืองเตียงสาผู้พ่อตายไปในขณะที่ลูกอายุยังน้อย และเมื่อ ซุนเซ็ก ผู้พี่ที่มีปนิธานแรงกล้าจะสืบสานอุดมการณ์ของพ่อก็ต้องตายไปอีกด้วยวัยเพียง 26 ปี จึงเรียกได้ว่าเสาหลักทั้งสองได้จากไปในเวลาอันไล่เรี่ยกันจนทำให้แทบจะตั้งหลักกันไม่ทัน
ภาระทั้งหลายจึงตกแก่ ซุนกวน ผู้น้องที่มีอายุเพียง 18 ปีต้องขึ้นมารับภาระสืบสานปณิธานอันหนักอึ้งของผู้เป็นพ่อต่อไป แต่ด้วยสายเลือดนักรบและนักปกครองที่สืบต่อกันมา หลังจากฟื้นจากการร้องไห้อาลัย ซุนเซ็ก ผู้พี่แล้ว ก็เรียกให้ เตียวเจียว ขุนนางเก่าแก่ของเมืองกังตั๋งเรียกประชุมขุนนางที่ศาลาว่าราชการเป็นการด่วน
ซุนกวน ได้ประชุมปรึกษาที่ประชุมขุนนางเก่าแก่ของพ่อและพี่ด้วยความนอบน้อมถ่อมตน เพื่อขอความเห็นใจและร่วมมือในการสืบสานปณิธานของผู้เป็นพ่อจนเป็นที่เรียบร้อย จิวยี่ ซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่,เป็นเพื่อนและยังเกี่ยวดองเป็นคู่เขยกับ ซุนเซ็ก เสนอให้เชิญ โลซก ปราชญ์ผู้มีวิชาความรู้มาช่วยงานรับราชการ และเมื่อ ซุนกวน พบกับ โลซก ครั้งแรกนั้น ก็ได้พูดคุยถึงเรื่องยุทธศาสตร์การเมืองต่างๆ ถึงสองวันสองคืน และเป็นที่พออกพอใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย และเป็นที่มาของการระดมผู้รู้ทั้งหลายทั่วแผ่นดินมาร่วมงานกันอีกเป็นจำนวนมาก
การบริหารภายใน ซุนกวน เป็นคนที่รับฟังความคิดเห็นของที่ปรึกษาทั้งเก่าและใหม่เป็นจำนวนมากทั้งฝ่ายบู้และบุ๋น ทั้งยังมี จิวยี่ เตียวเจียว ง่อก๊กไท้ ซึ่งซุนกวนถือเป็นผู้ใหญ่ที่เขาเคารพเป็นคนช่วยตัดสินใจคนสุดท้ายอีกชั้นหนึ่ง บางครั้ง ซุนกวน จึงถูกวิจารณ์ว่าเป็นคนโลเล ไม่เป็นตัวของตัวเอง ขาดความเข้มแข็งเด็ดขาดไม่เหมือนกับ ซุนเกี๋ยน ซุนเซ็ก ผู้พ่อและพี่
แต่บางคนก็มองว่านับเป็นศิลปการบริหารที่น่าสนใจของผู้นำในอีกลักษณะหนึ่ง เพราะสุดท้ายแล้ว ก๊กที่เดินเกมผิดพลาดน้อยที่สุด เสียหายน้อยที่สุด บอบช้ำน้อยที่สุด ประชาชนได้รับความเดือดร้อนน้อยที่สุดในตำนานสามก๊กก็คือ ง่อก๊ก ของ ซุนกวน นั่นเอง
บารมีของ ซุนกวน แก่กล้าเต็มที่เมื่อนำทัพไปตีเมืองกังแฮและฆ่า หองจอ ตัดหัวไปเซ่นไหว้ป้ายชื่อ ซุนเกี๋ยน เป็นที่สำเร็จ แต่กลับรับเอา โซหุย ซึ่งเป็นทหารเอกของเมืองกังแฮอีกคนที่มีส่วนร่วมในการฆ่าพ่อของเขาเข้ามารับราชการด้วยอีกคน ตามคำขอของ กำเหลง อดีตทหารเอกเมืองกังแฮที่มาขอสวามิภักดิ์ก่อนหน้านี้และทำความดีความชอบด้วยการฆ่า หองจอ ได้สำเร็จ
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการแยกแยะส่วนดีส่วนเสียเพื่อรักษาไว้ซึ่งคนและแยกแยะการเมืองกับความแค้นความหลัง เพื่อความสำเร็จของงานในอนาคต ออกจากกันได้อย่างชัดเจน
ทั้งในระหว่างเลี้ยงฉลองความสำเร็จกันอยู่นั้น เล่งทอง ซึ่งเป็นลูกของ เล่งโฉ ที่เคยถูก กำเหลง ฆ่าตายนั้นก็นึกโกรธแค้นชักกระบี่ออกมาจะฆ่า กำเหลง จนเกิดความชุลมุนวุ่นวาย ก็ได้ ชุนกวน เข้ามาปลอบโยนให้เห็นแก่หน้าที่ ซึ่งที่ กำเหลง ฆ่าเล่งโฉ นั้นก็เพราะเมื่อก่อนอยู่คนละฝ่ายและต้องทำหน้าที่ทหาร มิใช่ความแค้นส่วนตัว ส่วน กำเหลง ก็ให้เข้าใจ เล่งทอง ที่ต้องเสียพ่อย่อมเสียใจเป็นธรรมดา จึงควรให้อภัยซึ่งกันและกัน
ที่สำคัญที่สุดก็ให้ทั้ง เล่งทอง และ กำเหลง เห็นแก่เมืองกังตั๋งที่ยังรายล้อมด้วยศัตรูคู่รบอีกจำนวนมาก กว่าบ้านเมืองจะร่มเย็น ดังนั้นควรจะแยกแยะส่วนตัวส่วนรวมให้รอบคอบ และ ซุนกวน ก็ได้มอบหมายงานให้แก่ทั้งสองคนอย่าเหมาะสม ซึ่งตอนหลังทั้งสองได้กลายเป็นแม่ทัพที่สำคัญของกังตั๋งจนถึงบั้นปลายชีวิต
จาก เด็กน้อย ซุนกวน ท้ายที่สุดก็เป็นพระเจ้าซุนกวน เป็นหนึ่งในตัวเอกของสามก๊ก อย่างที่ใครจะสบประมาทไม่ได้ ฉะนั้นใครๆที่เคยเรียก เด็กน้อย อภิสิทธิ์ จากนี้ไปก็ต้องคิดหนักกันหน่อยหละครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น