บ้าจริง ไม่บ้าจี้ ไม้ร่ม ธรรมชาติอโศก |
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ | 22 เมษายน 2552 17:33 น. |
 |
 | คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น | | | | | | | โดย...ฮักก้า "วันเวลาล่วงไป บัดนี้เธอทำอะไรอยู่ ดีหรือชั่ว" ไม่เพียงจะจากป่าดงดิบ อ.พะโต๊ะ จ.ชุมพร เดินทางเข้าสู่เมืองกรุง เพื่อนำผลงานศิลปะชุด "กะหรุบกุบกิบ" มาจัดแสดงเดี่ยวในฐานะทูตสวรรค์ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ถ.เจ้าฟ้า เมื่อเดือนมีนาคม 2552 ที่ผ่านมา ศิลปิน วิโรจน์ นุ้ยบุตร ยังหอบเอาถ้อยคำมากมายมากระตุกสติของใครหลายคนให้คืนสู่ปัจจุบันขณะที่กำลังเป็นไป และเป็นไม้ร่มให้มิตรสหายได้เข้าไปหลบร้อนให้หัวใจเย็นสบายคลายทุกข์โศก ไม่ต่างจากชื่อปัจจุบันของเขา ไม้ร่ม ธรรมชาติอโศก ทูตสวรรค์ปรากฏตัวในชุดผ้าฝ้าย สองเท้านั้นเปลือยเปล่า เพราะไม่ได้สวมรองเท้าเช่นคนทั่วไป บนศรีษะซึ่งทาด้วยขี้ชันและขี้เทียน ประดับไปด้วยลูกอินทนิน ลูกมังคุด และเมล็ดพืชตามฤดูกาล เท่าที่จะพอหาได้จากผืนป่าภาคใต้อันเป็นชายคาพักอาศัยของชีวิต ณ เวลานี้ ภาพลักษณ์ภายนอกที่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป จึงทำให้มิตรหน้าใหม่ยากจะเชื่อว่า ครั้งหนึ่งชายวัย 67 ปีผู้นี้ ก็เคยมีวิถีชีวิตที่คล้ายกันกับเราๆ มิหนำซ้ำอาจจะคิดล่วงหน้าไปเสียอีกว่า เขาคือคนบ้าที่มาปรากฏกายเรียกร้องความสนใจเพียงชั่วครู่ชั่วคราว หาใช่ศิลปินไม่ แต่เมื่อได้เห็นงานศิลปะของเขา รับรู้ถึงการร่วมแรงใจของคนหลายฝ่ายที่พร้อมใจกันช่วยเหลือให้นิทรรศการศิลปะที่ห่างหายไปกว่ายี่สิบปีเดินหน้า และรู้ว่าเขามีภารกิจที่จะนำเงินจากการจำหน่ายผลงานไปช่วยเด็กดีที่รักพ่อแม่ แม้เรียนไม่เก่ง การเปิดใจทำความรู้จักถึงที่มาที่ไปของชายที่สวรรค์ส่งมาผู้นี้ และโยนคำถาม "บ้าหรือไม่" ให้เขาเป็นคนช่วยตอบ จึงน่าจะเป็นหนทางอันยุติธรรมที่สุดที่เราพึงจะกระทำ จาก...วิโรจน์ นุ้ยบุตร สู่...ไม้ร่ม ธรรมชาติอโศก ถอยหลังกลับไปที่ปี พ.ศ.2484 ไม้ร่มเกิดและเติบโตที่ ต.ชลคราม อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ผ่านการเรียนชั้นประถมที่ ร.ร.ชลคราม และชั้นมัธยมที่ ร.ร.หลังสวน สวนศรีวิทยา จากนั้นเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อมาเรียนต่อศิลปะที่ ร.ร.เพาะช่าง โดยมี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นผู้อุปการะในเรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียน ภายหลังจากที่ได้ซื้อภาพเขียนสีน้ำมันของไม้ร่มไปหมดทั้ง 3 ภาพ ในช่วงเวลาที่ได้ไปเห็นผลงานจัดแสดงร่วมกับเพื่อนๆ ณ บางกะปิแกลเลอรี่ เมื่อชีวิตกลับคืนสู่ความยากลำบากอีกครั้ง เพราะขัดแย้งกับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ทำให้ไม่มีผู้ส่งเรียนต่อ เขาจึงต้องไปนอนบนส้วมในบ้านที่เช่าอยู่ในราคาถูกกับ ดวงแก้ว พิทยากรศิลป์ เพื่อนจากสุราษฎร์ธานี ผู้สร้างตำนานหุ่นขี้ผึ้งไทย กระทั่งมีฝรั่งจีไอที่ชื่อชอบในผลงานและไปพบเขาวาดภาพขายที่ถนนสุขุมวิท ส่งเสียให้เรียนจนจบ จบจากรั้วเพาะช่างไม้ร่มมีอาชีพเป็นครูสอนศิลปะ ที่โรงเรียนนานาชาติ I.S.B กรุงเทพฯ โดยเพื่อนที่ไปสมัครเป็นครูศิลปะพร้อมๆกันในเวลานั้นคือ ถวัลย์ ดัชนี (ศิลปินแห่งชาติ) และปรีชา อรชุนกะ ระหว่างนั้นเขาเคยได้รับคัดเลือกให้แสดงงานคู่กับศิลปินเอกของเยอรมัน Horst Janssen จนพิพิธภัณฑ์จากนิวยอร์คส่งคนมาซื้อภาพเขียนของเขาถึงบ้าน แต่ที่สุดแล้วเพื่อนร่วมรุ่นศิลปินแห่งชาติ กมล ทัศนาญชลี ชายผู้ถูกยกย่องจาก Dr.Albert J. Bryniarski ผู้อำนวยการสถาบันฯ ว่าเป็นนักสอนศิลปะมือหนึ่ง ที่ไม่เป็นรองใครในโลก และได้รับการคัดเลือก ให้ศึกษาวิธีการเรียนการสอนศิลปะแนวใหม่ จาก Dr.Ronald A. Haxamer นักการสอนแนวหน้าของโลก ตัวต่อตัว ก็ทิ้งเงินเดือนเกือบห้าหมื่น ที่มากกว่านายกรัฐมนตรีของประเทศในเวลานั้น และสิ่งต่างๆที่เคยพันธการชีวิต สู่รั้วของพุทธสถานสันติอโศก ที่มีรุ่นพี่ศิษย์เก่าเพาะช่างอย่าง สมณะโพธิรักษ์ เป็นเสาหลัก "อยู่โรงเรียนนานาชาติ ได้เงินมาก็ไปอยู่ในบาร์ในคลับ พอวันหนึ่งไม้ทิ่มตา ต้องหยุดสอนไปสี่เดือน ก็เลยได้มีเวลานอนคิด เราจะเอายังไงกับชีวิต โทรไปหาเพื่อนที่ชื่อ นัฐ กาญจนทัศน์ (ตอนนี้บวชเป็นพระอยู่ที่วัดบุปผา ย่านฝั่งธน) ซึ่งเป็นเพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกันนานตั้งแต่เรียนจบเพาะช่าง เพื่อนตัดผมเกรียน การพูดการจาเรียบร้อย ผมเอาเหล้าเอาเบียร์ และกับแกล้มอย่างดีเตรียมไว้ให้ ก็ไม่ยอมกิน จึงถามว่าไปบวชมาหรือ เขาบอกไม่ได้บวช ผมบอกไม่เป็นไร ไปเรียนที่ไหนมาจงเขียนที่อยู่ของสถานที่นั้นให้ จะไปดูด้วยตัวเอง เขาจึงบอกว่าเขาไปที่สันติอโศก" ครั้งแรกของการไปเยือนสันติอโศก ก่อนที่จะไปนั่งแถวหน้าฟังเพื่อฟังเทศน์จาก "พ่อท่าน" หรือ สมณะโพธิรักษ์ สายตาของวิโรจน์พลันเหลือบไปเห็นประโยคๆหนึ่งที่เขียนติดไว้อยู่ใต้ถุนโบสถ์ "วันเวลาล่วงไป บัดนี้เธอทำอะไรอยู่ ดีหรือชั่ว" ชีวิตที่เคยไล่ล่าตามหาสิ่งปรนเปรอชีวิตมาเกือบครึ่งชีวิตและโลดโผนโจนทะยานจนยากจะควบคุม จึงได้เริ่มหยุดคิดและตระหนักรู้ในตัวเองมากขึ้น "พอยิ่งไปฟังพ่อท่านเทศน์ ซึ่งท่านเทศน์ชัดมาก ผมน้ำตาซึม หืดเริ่มขึ้นคอ อยากจะร้องไห้ ตั้งแต่วันนั้นมา ผมจึงเริ่มเปลี่ยนตัวเอง เลิกกินเนื้อสัตว์ เลิกกับภรรยาคนที่สอง และค่อยๆละเลิกสิ่งต่างๆ" ศิลปินผู้ฝากผลงานชิ้นเอกตกแต่งไว้ภายในรั้ววัดที่เขาศรัทธาบอกเล่าว่า หนึ่งชีวิตผ่านดีและชั่วมาแล้วมากมาย แม้แต่ความขมขื่นอันมาสำนึกได้ในภายหลัง เช่นเรื่องที่ภรรยาคนแรก ซึ่งเป็นบุตรสาวคนเดียวของตระกูล "บุนนาค" ใน จ.กระบี่ ต้องมาจบชีวิตลงด้วยการฆ่าตัวตาย เพราะความเจ้าชู้ของเขา "ภรรยาคนแรกรักผมมาก แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ชีวิตของผมค่อนข้างมั่ว ไม่รู้ว่าเป็นหนุ่มรูปหล่อหรือไม่หล่อ ก็ไม่รู้ แต่เป็นอาร์ตติส แต่งตัวก็แปลกกว่าคนอื่น สาวๆที่เห็นความบ้าของเราแล้วชอบก็มี" แม้จะตัดสินใจสละทิ้งแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งบริจาคและขายไปในราคาบุญนิยม แต่ชีวิตที่หันเข้าหาธรรมก็ต้องเรียนรู้ผิดถูกอยู่นาน กว่าจะเป็นชีวิตที่เข้มแข็งในธรรม "เราเป็นเหมือนคนที่ว่ายน้ำในท้องทะเลลึก เราทิ้งของที่เราเคยเกาะ ทุ่นที่เราเคยเกาะ แล้วอยากจะว่ายน้ำด้วยตัวของเราเอง แรกๆมันก็ได้อยู่ แต่ซักพักมันก็หมดแรง เจอหมาเน่าเราก็เกาะ เจอผู้หญิงคนไหนเราก็อยากจะไปสมสู่ อยากจะไปเป็นผัวเป็นเมียกัน เพราะตัวราคะ มันไม่ใช่ของเล่น เราสั่งสมมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันชาติ แต่อย่างไรเสีย ผมก็ทำกับตัวเองแรง ทิ้งลูกทิ้งเมีย ทิ้งบ้าน ทิ้งทรัพย์สมบัติ ผมเคยมีที่ดินอยู่หลายจังหวัด ผมทิ้งไปหมด พอไปอยู่วัดผมก็ไปได้ผู้หญิงในวัดอีก ผมโดนพระทำโทษถึงสิบปี ไม่ให้เข้าวัด ทั้งโดยพ่อท่าน และกฎของสังคม เพราะผมไปผิดศีล สุดท้ายผมจึงได้รู้ว่าผิดเป็นครู แต่ก่อนผิดไม่เคยเป็นครู ผมได้เห็น ได้เรียนรู้จากความผิด และผมก็ดีใจที่ผมได้ทำผิด เพราะถ้าผมไม่ทำผิด ก็แสดงว่าผมไม่เคยทำถูกเลย ทุกคนมีโอกาสทำผิด ไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิด" ในฐานะนักปฏิบัติธรรมแต่เผลอไปทำความผิด และปกปิดไว้หลายกรณี ถึงคราวกลับใจได้ ไม้ร่มจึงขอสารภาพบาปทั้งหมดผ่านงานเขียนเล่มที่ชื่อ "ของจริง 100%" ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดางานเขียนเล่มอื่นๆ อีกมากมาย ที่ทำให้เราได้รู้ว่าเขามีความสามารถทั้งในด้านทัศนศิลป์และวรรณศิลป์ควบคู่กัน อาทิ พจนานุกู ฉบับมือตบ จากอู่อารยธรรมพันธมิตรบุญนิยม,แม่เยื้อน นุ้ยบุตร บ้านสวนหมี,กวีนิพนธ์ ขายตัว และเขียนใจ ภาษาหลุดโลกแนวใหม่ที่บรรจงเขียนใจให้เป็นกวี ฯลฯ "เล่าอดีตของตัวเองเท่าที่พอจะจำได้ ว่ามนุษย์คนหนึ่งมันเป็นยังไง เป็นเรื่องจริงที่ไม่ได้บิดเบือน อยากให้คนรู้จักเราทั้งด้านมืดและด้านสว่าง" คนแท้...ลูกแม่ไม่ได้บ้า ไม้ร่ม ถือเป็นบุคคลในยุคแรกๆที่ขอให้สมณโพธิรักษ์มอบชื่อใหม่ให้ จนปัจจุบันนี้เราได้พบว่ามีศิษย์สันติอโศกจำนวนไม่น้อย ที่มีชื่อใหม่มาแทนชื่อที่เคยใช้ในบัตรประชาชน แต่ละคนต่างก็มีเหตุผลที่แตกต่างกันไป แต่หนึ่งเหตุผลที่สำคัญของไม่ร่ม เพราะเขาถูกปฏิเสธจากญาติพี่น้อง ที่ต่างรับไม่ได้กับการละทิ้งชีวิตเช่นปุถุชนธรรมดาไปเป็นคนหลุดโลกในสายตาของคนเหล่านั้น "เขาไม่เอาผม เพราะเขาหาว่าผมบ้า ทำให้เขาเสียชื่อ ถึงกลับไล่ผมออกจากที่ดินของผมเองที่สุราษฎร์ พอใครเขาว่าบ้า ผมบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร และต่อไปนี้ ผมจะทำอะไรก็ได้เพราะผมเป็นคนบ้า จากนั้นผมก็เริ่มแต่งองค์ทรงศรของผมมากขึ้นๆ ซึ่งเดิมทีก่อนหน้านี้ผมก็เป็นคนที่แต่งตัวแปลกอยู่แล้ว แต่ต่อมามันเริ่มมีอะไรมากขึ้น และเริ่มหาโน่นหานี่มาใส่หัว" ชีวิตนี้มี "แม่เยื้อน" เพียงคนเดียวเข้าใจและช่วยรับประกัน เท่านี้เขาก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อนใดๆ แล้ว กับคำกล่าวหาว่า "บ้า" และหากจะบ้า เขาก็จัดตัวเองให้เป็นจำพวก "บ้าจริง" ที่บ้าค้นหาความจริง เพื่อไปสู่นิพพาน ไม่ใช่ "บ้าจี้" ที่จี้ให้มีลูกมีเมีย จี้ให้มีบ้านมีรถใหญ่โต จี้ให้ร่ำให้รวย และ "บ้าละเมอเพ้อพก" อยู่ในโรงพยาบาล "วันหนึ่งขณะที่ผมเข้าไปกราบแม่ และถามแม่ว่าผมบ้าหรือเปล่า แม่เอามือจับที่หัวของผม พลางถามว่าอะไรอยู่บนหัวมึง กระหรุบกุบกิบ (เป็นภาษาใต้ มีความหมายไปในทำนองว่ามีอะไรเกิดขึ้นเยอะแยะ) แม่บอกว่า ขอให้มึงทำมาหากิน โชคดีมีเงินทองเต็มไปหมด กระหรุบกุบกิบอย่างนี้นะ กูรับรองว่ามึงไม่บ้าหรอก มึงเป็นคนดี ผมบอกแม่ว่า ขอบคุณแม่มาก มีแม่คนเดียวรับรองก็พอแล้ว ผมจะไม่ถามคนอื่นหรอก" การแสดงออกผ่านการแต่งกาย เขาบอกว่าเป็นความต้องการของศิลปินคนหนึ่งที่ปรารถนาจะทำศิลปะให้รอบด้าน ไม่ใช่เฉพาะกับวัตถุ แต่ตัวเขาเองก็ต้องเป็นศิลปะชิ้นหนึ่งให้คนได้สัมผัสด้วย "ในเมื่อเราทำกับวัตถุได้ เราต้องทำกับตัวเราด้วย ตัวอย่างที่ดีมีค่ากว่าคำสอน รูปเขียนก็คือตัวอย่าง ตัวผมเองก็คือตัวอย่าง เพราะฉะนั้นผมต้องทำตัวเองเป็นตัวอย่างด้วยว่า มนุษย์คนหนึ่งควรจะเป็นอย่างไร ใครจะเห็นว่าดีก็ดี เห็นว่าไม่ดีก็ไม่ดี สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตรม คนหนึ่งตาแหลมคมมองเห็นดวงดาวพราวพราย" เขาสวมใส่ชุดผ้าฝ้ายเก่าๆ ซึ่งร้านฝ้ายแค้มอุบล และร้านไม้ร่ม จ.เชียงใหม่ มีใจอนุเคราะห์ส่งมาให้ และจำกัดการสวมใส่ไว้เพียงไม่กี่สีเพื่อข้ามให้พ้นขัดจำกัดของสังคม "คนเราจะมีขีดจำกัด ในเรื่อง อายุ ชาติชั้น วรรณะ และอะไรอีกเยอะแยะ ผมพยายามจะข้ามขีดจำกัดนั้นไปให้ได้" เขาแปรงฟันด้วยขี้เถ้าผสมเกลือ ชำระร่างกายด้วยสบู่เป็นบางครั้ง เปิบข้าวเข้าปากด้วยมือ เพราะไม่ต้องการรับประทานอาหารมือสอง ผ่านสิ่งสำส่อน อย่างช้อนส้อม เท้าที่ไม่สวมอะไรเลย แม้แต่พนักงานโรงแรมชั้นหนึ่ง ที่เคยไล่เขาออกจากโรงแรม ด้วยเหตุผล NO SHOE ก็ยังต้องหยุดทำความรู้จักกับรองเท้ากายสิทธิ์อันเป็นรองเท้าหนังแท้ที่แม่ให้มา หลายปีแล้วที่เขาไม่ได้ตัดผม เพราะไม่ต้องการลงทุนสำหรับการซื้อหากรรไกร เพราะชีวิตกลางป่า กับ "ปลายฟ้า" ลูกสาวบุญธรรมที่เป็นโรคลมชักและหมาอีกสองตัว บนผืนดินกว้างหลายร้อยไร่ที่เขาบริจาคไปเรียบร้อยแล้ว แต่ขอใช้เพียงพื้นที่เล็กๆปลูกกระต๊อบอาศัยอยู่ไปชั่วชีวิต เป็นชีวิตที่เรียบง่ายและพยายามลดต้นทุนในสิ่งที่ไม่จำเป็น ทุกวันนี้เขาเป็นวิทยากรตลอดชีพให้กับค่ายศิลปะเพื่อคนพิการ Art for all โดยไม่มีรายได้ใดๆ ที่ผ่านมามีก็แต่ญาติธรรมและเพื่อนฝูงเท่านั้นที่คอยให้ความช่วยเหลือส่งเงินและข้าวไปให้ เพื่อให้เขาได้ทำงานศิลปะ "ผมเป็นไม้ร่มไม่ใช่ไม้ร้อน ผมจึงตั้งใจว่าจะต้องเป็นไม้ร่มให้ได้ เพื่อตัวผมเอง เพื่อคนข้างเคียงและมวลมนุษยชาติ และเป็นธรรมชาติอโศก ที่สำนึกรู้ว่าตัวเรานั้นคือธรรมชาติ มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป รู้เท่าทันตามความเป็นจริง โดยไม่ต้องโศกเศร้า เสียใจ" บทกวีขี้มูก 21/4/52 ชีวิตเหมือนขี้มูกที่ถูกสั่ง หลุดจากดั้งลงดินสิ้นสงสัย ถูกหมาเหยียบหมูย่ำระกำใจ จะเล็กใหญ่ถ่อยเถื่อนมูกเหมือนกัน บ้างถูกมดคันขนคนหยามเหยียด ถูกรังเกียจนรกตกสวรรค์ ขี้มูกใครใคร่สั่งช่างหัวมัน รู้รู้กันว่านี่แหล่ะชีวิต เกิดมาเป็นชีวิตไม่คิดฝัน มีแต่วันยันค่ำอำมหิต มีเวลาใช้สอยเพียงน้อยนิด เป็นชีวิตขี้มูกถูกสั่งมา สั่งมาเป็นมนุษย์สุดโอหัง สร้างเรือนรังแรงฤทธิ์คิดค้ำฟ้า สร้างสมบ้าสมบัติเต็มอัดตา เพื่อเบ่งบารมีที่ฝืดเคือง มีตัวเปล่าไปเปลือยน่าเหนื่อยหน่าย ไม่เห็นได้อะไรไม่ได้เรื่อง รกวัดวัง รกบ้าน รกการเมือง เกิดมาเปลืองข้าวสุขทุกข์กบาล เหมือนชีวิตขี้มูกถูกสั่งทิ้ง กลับเย่อหยิ่งปากกล้าทำหน้าด้าน ทำอวดตัวหัวหมอส่อสันดาน ซุกซมซานทบเท้าเจ้าประคุณ
http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9520000045226 | |
Rediscover Hotmail®: Get e-mail storage that grows with you.
Check it out.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น