วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11299 มติชนรายวัน
100 ปี ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เรื่องเล่าที่มีมากกว่าความเก่า
ชุติมา นุ่นมัน-เรื่อง สุรินทร์ มุขศรี-ภาพ
ตึกที่เจ้าพระยาอภัยภูเบศรอาศัยเมื่อตอนเป็นเจ้าเมืองพระตะบอง ปัจจุบันรัฐบาลกัมพูชาดูแลอยู่ที่เมืองพระตะบอง เทียบกับตึกหลังที่มาปลูกใหม่ อายุ 100 ปี
บ่ายแก่ๆ เมื่อราวร้อยกว่าปีก่อน เรือกระแชงลำใหญ่ ที่แล่นเรื่อยๆ อยู่ในแม่น้ำปราจีนบุรี เขตพื้นที่ ต.ท่างาม ถูกชายร่างใหญ่หนวดเฟิ้ม ท่าทางทรงอำนาจ ผู้ทำหน้าที่หัวหน้าคณะ สั่งให้คนบังคับเรือหยุด เพราะพึงใจในความงามของผืนดินที่อยู่เบื้องหน้านักหนา
ลุงผวน หรือชูชาติ รสเกษร คนงานของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี ในวัย 56 ปีวันนี้ รำลึกความหลังให้ฟังว่า นายช้อย รสเกษร ซึ่งมีศักดิ์ เป็นปู่ของแก เป็นหนึ่งของคนงานที่อยู่ในเรือกระแชงลำนั้น เรือที่แล่นออกสำรวจหาพื้นที่ที่เหมาะสมเพื่อสร้างตึกที่ประทับให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนชายร่างใหญ่ท่าทางทรงอำนาจคนนั้นก็คือ เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) เจ้าของความคิดและผู้สร้างตึกหลังนั้นนั่นเอง
ในยุคแห่งการล่าอาณานิคม เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ประเทศไทยจำต้องเอา จ.พระตะบอง ศรีโสภณ และเสียมราฐ ไปแลกกับพื้นที่ จ.ตราด ที่ประเทศฝรั่งเศสยึดไป กลับคืนมา เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ซึ่งเป็นเจ้าเมืองปกครองพระตะบองในยามนั้นจำต้องย้ายออกจากบ้านเกิดเมืองนอน เดินทางเข้าสู่พระนคร เพราะพระตะบองไม่ใช่ดินแดนของประเทศไทยอีกต่อไป
แม้จะถูกทามทาบจากรัฐบาลฝรั่งเศสให้อยู่ปกครองเมืองต่อไปพร้อมเสนอค่าตอบแทนมหาศาล แต่ด้วยความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง ไม่ยอมเป็นข้าฯแผ่นดินไหนนอกจากแผ่นดินไทย เจ้าพระยาอภัยภูเบศรก็หาได้ยอมรับคำชักชวนนั้นไม่
ออกจากพระตะบอง คณะของท่านเจ้าพระยาฯมาตั้งฐานที่มั่นอยู่ที่ จ.ปราจีนบุรี หลังจากนั้นไม่นานพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยม แต่ตอนนั้นบริเวณดังกล่าวยังไม่มีพระตำหนักหรือที่ประทับ ทหารและข้าราชบริพารจึงต้องสร้างเพิงพักให้พระองค์ประทับชั่วคราว เห็นความตรากตรำของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะประทับอยู่เพิง เจ้าพระยาอภัยภูเบศรจึงตั้งใจว่าจะสร้างพระตำหนักให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับเมื่อเสด็จพระราชดำเนินมาที่นี่อีกในครั้งต่อไป
ห้องโถงภายในที่จัดเป็นพิพิธภัณฑ์
หลังจากนั้นไม่นาน มีการเกณฑ์ผู้คนและสัตว์เลี้ยงมาช่วยกันปรับพื้นที่ ช้างนับร้อยเชือกถูกใช้ต่างรถบดเหยียบย่ำ ย้ำดินให้แข็งและแน่น จากนั้นก็เอาท่อนซุงวางเป็นฐานตัวตึก ถมด้วยดินแล้วระดมสรรพกำลังช้างทั้งหมดมาเหยียบอีกหลายรอบ ตึกหลังใหญ่ใกล้น้ำท่าจีน ซึ่งสร้างตามแบบศิลปะบาโร้คของตะวันตก ในเวลานั้นแม้ไม่มีเสาเข็มมั่นคงเหมือนตึกยุคปัจจุบันแต่ถือว่ามีฐานรากมั่นคงแข็งแรง ยากที่ใครจะโค่น
ปู่ช้อยเล่าให้ลุงผวนฟังว่า รูปทรงของตัวตึกที่เมืองปราจีนบุรีกับที่พระตะบองไม่ต่างกันเลย เป็นเพราะท่านเจ้าพระยาฯต้องการรำลึกถึงบ้านเกิดตัวเองนั่นเอง
ตึกสร้างเสร็จเรียบร้อยเมื่อปี 2452 ขณะที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตในปี 2453 แต่พระองค์ไม่เคยเสด็จฯมาประทับที่ตึกหลังนี้เลย แม้กระทั่งตัวท่านเจ้าพระยาฯก็ไม่เคยอยู่ในตึกหลังนี้เหมือนกันเพราะตั้งใจแน่วแน่ว่าจะสร้างให้เจ้านายประทับเท่านั้น อย่างไรก็ตาม มีเจ้านายหลายพระองค์ในสมัยต่อมาเสด็จประทับที่ตึกหลังนี้ทุกครั้งเมื่อเสด็จฯมายังมณฑลปราจีนบุรี และหลังจากท่านเจ้าพระยาฯถึงแก่อสัญกรรม ตึกหลังนี้ก็ตกเป็นของตระกูลอภัยวงศ์ และต่อมา ตัวตึกและที่ดินถูกยกให้มณฑลทหารบกที่ 2 จ.ปราจีนบุรี เพื่อใช้เป็นโรงพยาบาลตั้งแต่นั้นมา
ชูชาติ รอเกษร, ภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร
"ปู่ของผมเป็นคนรับใช้ที่ติดตามท่านเจ้าพระยาฯมาตั้งแต่ท่านอยู่ที่พระตะบอง เมื่อท่านเจ้าพระยาฯตัดสินใจเดินทางจากพระตะบองมาที่นี่ปู่ก็ตามมาด้วย" ลุงผวนบอกเสียงแผ่วสายตามองไปยังกรอบรูปชายชรา ที่วางอยู่ข้างๆ ตัว
แกบอกว่า เป็นหลานที่สนิทกับปู่มาก ปู่จะชอบเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้เกี่ยวกับท่านเจ้าพระยาฯให้ฟังตลอด นอกจากเป็นคนจิตใจดีแล้ว ยังเป็นคนมีวิชาอาคมเก่งกล้าหาตัวจับยาก สามารถเสกหุ่นฟางให้กลายเป็นทหาร และเสกใบมะขามให้กลายเป็นผึ้งได้ด้วย
ลุงผวนบอกว่า มีวิชาหนึ่งที่แกภาคภูมิใจนักหนาว่าแกได้รับการถ่ายทอดมาจากท่านเจ้าพระยาฯด้วย นั่นคือ วิชาสมุนไพร เพราะท่านเจ้าพระยาฯถ่ายทอดวิชาสมุนไพรให้ปู่ช้อย แล้วปู่ช้อยก็มาถ่ายทอดให้แกอีกต่อหนึ่ง ทุกวันนี้ลูกหลานในบ้าน หรือคนใกล้ชิดเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ประเภทท้องอืด ปวดท้อง เจ็บคอ ท้องเสีย เป็นหวัด ลุงผวนสามารถหาสมุนไพรใกล้ตัวมาปัดเป่าบรรเทา หรือทำให้หายขาดได้เสมอ และสิ่งที่ทำให้แกดีใจและมีความสุขมากๆ คือ โรงพยาบาลนี้เป็นผู้นำในการใช้พืชสมุนไพร เป็นอีกทางเลือกในการรักษาโรค
ชีวิตของลุงผัน วนเวียนไม่เคยห่างจากตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรตั้งแต่เล็กจนเป็นหนุ่ม จนแก่
"วันนี้ ตึกนี้อายุครบ 100 ปีแล้ว มันผ่านไปเร็วมาก เพราะรู้สึกเหมือนว่าปู่เพิ่งเล่าเรื่องการสร้างตึกให้ฟังเมื่อเร็วๆ นี้เอง ทั้งๆ ที่ความจริงปู่ก็ตายไปนานแล้ว" ลุงผวนบอก
ปีนี้โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรจะจัดงานครบรอบ 100 ปี ตึกที่เจ้าพระยาฯสร้างขึ้น ตัวตึกเปลี่ยนสถานจากที่รองรับคนไข้ เป็นพิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทย เพื่อให้เป็นที่ศึกษา ค้นคว้า รวมทั้งอนุรักษ์ตำรายาไทย การแพทย์ไทย และการแพทย์พื้นบ้าน
แม้ที่ผ่านมาสมุนไพรไทยจะถูกกระทบกระทั่งจากสถานการณ์ต่างๆ มาโดยตลอด ล่าสุดกรมวิชาการเกษตรถึงขั้นประกาศให้พืชสมุนไพร 13 ชนิด ที่คนไทยใช้ภูมิปัญญาดัดแปลงเป็นยาปราบหรือป้องกันแมลงและศัตรูพืช เป็นวัตถุอันตราย ยิ่งเพิ่มความคับขันให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงไปอีก แต่ก็ยังนับว่าแพทย์แผนไทยที่ใช้สมุนไพรรักษาโรคได้รับการยอมรับในสังคมอย่างมากแล้วเมื่อเทียบกับที่ผ่านมา
ลมร้อนพัดมาระลอกแรก ไอแดดนอกตัวตึกทำหน้าที่อย่างแข็งขันจนหลายคนที่ผ่านไปมาหน้าเหยเก แต่มีผู้คนไม่น้อยที่เข้ามาอาศัยหลบไอร้อนอยู่ใต้ร่มเงาของตึกสูงสีเหลืองที่ตั้งตระหง่านอยู่ในโรงพยาบาลตึกนั้น
หายร้อนแล้ว คนเหล่านั้นก็เดินจากไปอย่างสดชื่น
ภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม และหัวหน้าโครงการพิพิธภัณฑ์การแพทย์ไทยอภัยภูเบศร
"มากกว่าความเก่าแก่ของตัวตึก ที่ทางโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ต้องการจะสื่อให้สังคมรับรู้สำหรับการจัดงาน 100 ปี คือ ความรักชาติที่เป็นรูปธรรมของท่านเจ้าพระยาฯ คือไม่ยอมเป็นข้าใครนอกเหนือจากแผ่นดินไทย แม้จะถูกเสนอผลประโยชน์อย่างมหาศาลให้ และถึงวันนี้ วิชาสมุนไพร ความรู้ที่ท่านเจ้าพระยาฯเชี่ยวชาญ และพยายามบอกเล่า ถ่ายทอดสู่ผู้ใกล้ชิด ก็คือตัวแทนความเป็นไทที่สำคัญอีกประการ เพราะสมุนไพรคือความเป็นไทด้านยา เราสามารถพึ่งตัวเองด้านยาได้ หากมีการส่งเสริม ศึกษาอย่างจริงจัง เราก็จะเป็นไทด้านยาอย่างแท้จริง"
หน้า 8 http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01way01150252§ionid=0137&day=2009-02-15
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น